YukaKuroh

K : Rainy Night (YukaKuroh)

Title: Rainy Night

Paring: Mishakuji Yukari (18) x Yatogami Kuroh (7)

Rate: G

Fandom: K

Note: อบอุ่น ใส ๆ ปลอดความหมองเรท ปลอดดราม่า— ปลอดดราม่ามันยากนะคะะะ XD

 

มิชาคุจิ ยูคาริถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงฟ้าผ่าในกลางดึกของคืนหนึ่ง ดวงตาคู่สวยเลื่อนมองนอกประตูบานเลื่อนที่เหมือนจะมีฝนตกกระหน่ำอยู่

 

ก็หน้าพายุนี่นะ…

 

ยูคาริถอนหายใจ ตั้งใจจะพลิกตัวนอนต่อ แต่ก่อนจะได้ขยับตัวนั้น ดวงตาก็พลันปะเข้ากับบางสิ่งที่ขดตัวเป็นก้อนกระดุกกระดิกอยู่ในผ้าห่มของตัวเอง เรียวคิ้วขมวดมุ่นก่อนที่มือจะกระชากผ้าห่มออกทันที

 

“หวา! กลัวแล้วครับ!” ร่างนั้นสะดุ้งกุมหัวขดตัวมากกว่าเดิม

 

“คุโรจัง…ทำอะไรของเธอน่ะ?” ยูคาริหรี่ตาถามศิษย์น้องร่วมสำนักอย่างนึกรำคาญใจ เด็กอ่อนแอ…ไม่งดงามเอาซะเลย! เมื่อได้ยินแบบนั้นเด็กน้อยก็ค่อย ๆ เงยหน้าที่คลอน้ำตาขึ้นมา

 

“ทะ…ท่านพี่”

 

ศิษย์พี่ถอนหายใจพรืดก่อนจะแกล้งจ้องหน้าคุโรอย่างคาดคั้น “ทำอะไรของเธออยู่หืม? อย่าบอกนะว่ากลัวฟ้าผ่าน่ะ? ไม่งดงามเลยนะรู้ไหม?”

 

“มะ…ไม่ใช่นะครับ!” ใบหน้ากลมแดงเรื่อก่อนจะหลับตาปี๋รีบปฏิเสธ แต่แล้วก็หลุบตาลงทำปากขมุบขมิบเหมือนอาย “…แต่ก็ใช่ครับ”

 

“จะอ่อนแอไปไหน? หืม? หืมมม?” ยูคาริเอื้อมมือไปขยี้ ๆ เส้นผมสีดำยาวอย่างหมั่นเขี้ยวจนเด็กน้อยต้องร้องเสียงหลง

 

อืม แต่ผมคุโรจังนี่ก็นุ่มดีแฮะ…

 

“กะ…ก็มันน่ากลัวออกนี่ครั—” พูดไม่ทันขาดคำ สายฟ้าสีขาวก็ฟาดเปรี้ยงลงมาด้านนอกจนสว่างวาบไปทั่วบริเวณพร้อมกับเสียงคำรามดังสนั่นจนคุโรต้องสะดุ้งยกมือปิดหูหลับตาปี๋เหมือนไม่อยากรับรู้อะไรทันที

 

“คุโรจังนี่ล่ะก็…” คนเป็นพี่ถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นเปิดไฟเหนือฟูกแล้วนั่งลงอุ้มเด็กน้อยทั้งท่าขดมานั่งบนตักพลางลูบหัวเบา ๆ วันนี้อาจารย์อิจิเก็นไปทำธุระและต้องค้างต่างเมือง คงเพราะแบบนี้ คุโรที่ไม่มีที่พึ่งเลยต้องมาหลบอยู่กับเขาแทน ถึงจะน่าเบื่อ ถึงจะรบกวนเวลานอนพักที่แสนสำคัญ แต่ยูคาริก็มีความคิดแปลก ๆ อย่างปล่อยคุโรนอนท่านี้ทั้งคืนคงไม่ได้การแน่

 

“เด็กโง่…มันไม่มีอะไรสักหน่อย ก็แค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ อาจารย์ไม่เคยสอนหรือไง?”

 

คุโรค่อย ๆ เงยหน้าที่คลอน้ำตาขึ้นมามอง “สะ…สอนครับ แต่ว่ายังไงก็…กลัวอยู่ดี” เสียงเล็ก ๆ ตอบพึมพำก่อนที่เจ้าตัวจะขยับมากอดเขาไว้ ซุกหน้าเปื้อนน้ำตาลงกับเสื้อเมื่อเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง

 

ยูคาริพ่นลมหายใจเหนื่อยหน่ายก่อนจะกอดน้องชายตัวน้อยที่สั่นระริกไว้แน่น ๆ …จะยอมคุโรจังแค่คืนนี้เท่านั้นนะ

 

“เดี๋ยวมันก็ผ่านไป คุโรจัง…นอนซะนะ เด็กดี” มือเรียวลูบหัวเด็กน้อยเบา ๆ ขณะอีกแขนก็กอดกระชับร่างเล็กเพรียวไว้ให้ถนัด ยืนยันว่าเขาจะไม่ไปไหน จะอยู่ตรงนี้

 

“ท่านพี่ครับ”

 

“ว่าไง?” เสียงของคุโรดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่ยูคาริค่อย ๆ เอนตัวลงนอนโดยให้เด็กน้อยนอนบนตัว น้องชายเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยดวงตากลมใส ริมฝีปากบางขยับยิ้มน้อย ๆ

 

“ได้นอนกับท่านพี่แบบนี้…ดีจังเลยครับ”

 

“พูดอะไรของเธอน่ะ ไม่เห็นดีเลย หนักจะตาย…” ถึงจะตอบแบบนั้น แต่มือก็ไม่ได้ผลักไส ซ้ำยังกอดร่างเล็กไว้แน่นมากขึ้นอีกด้วย

 

“ฮะ ๆ แต่ผมมีความสุขนะครับ” คุโรน้อยยิ้มหวานแล้วขยับตัวนอนกอดเขาดี ๆ พลางหลับตาลงพริ้ม “อยากจะนอนกอดท่านพี่ตลอดไปเลย”

 

ยูคาริหรี่ตาลงมองแต่ไม่ตอบอะไรกลับไปเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยหลับตาไปแล้ว สองมือเรียวกระชับกอด ซุกหน้าลงกับเส้นผมสีดำนุ่ม ๆ แล้วหลับตาลง

 

 

ปล่อยให้เสียงสายฝนและฟ้าร้องกล่อมให้หลับ…

ความในใจจะเก็บงำเอาไว้ตลอดไป…

ความรัก…ถูกบรรจุใส่ลงในใบดาบ หวังเพียงสักวันจะได้ฟาดฟันออกไปให้เธอให้เธอได้รับรู้

คุโรจังของฉัน…

 

 

 

 

 

คุโรแอบลืมตาขึ้นมาก่อนจะเงยหน้ามองยูคาริที่หลับสนิทไปแล้ว เด็กน้อยประสานมือวางบนอกกว้าง เกยคางลงไปและยิ้มบาง ๆ อย่างมีความสุข…

 

เรื่องกลัวฟ้าร้องก็เป็นเพียงข้ออ้าง เขาแค่อยากจะมานอนกับท่านพี่บ้างเท่านั้น อยากจะอยู่ใกล้ชิดมากกว่านี้ อยากจะกอดจะอ้อนท่านพี่ เด็กน้อยหลับตาลงอีกครั้ง

 

ปล่อยให้เสียงสายฝนและฟ้าร้องกล่อมให้หลับ…

ความในใจนั้นสักวันอยากจะบอกออกไป…

ความรัก…ที่ถูกบรรจุใส่ลงในใบดาบ สักวันหนึ่งอยากจะได้รับมันเอาไว้

ท่านพี่ของผม…

 

 

เหมือนกลับมาเก็บตกฟิคเก่า ฮืออ

จู่ๆ ก็คิดถึงคู่นี้เลยขุดกลับมาลงค่ะ

AkaMayu · Fiction

Kuroko no Basuke : The Emperor And The Girl Ch. 02 (AkaMayu)

Title : The Emperor And The Girl (จักรพรรดิและเด็กสาว)

Paring : Akashi Seijurou x Mayuzumi Chihiro (c)

Rate : PG-13

Note : นายน้อยเป็นโอเรชินะคะ (แม้จะมีแต่คำแทนตัวว่า ผม ก็เถอะ) ไม่เคยแต่งนายน้อยมาก่อนเลย…แน่นอนพี่มายุด้วย หากมีข้อผิดพลาดแต่ประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ m(_ _)m

 

The Emperor And The Girl : Chapter 2 ‘A Shopping Day’

 

“มายุสุมิซัง…เสื้อผ้าใส่ได้ไหมครับ?”

อาคาชิเคาะประตูห้องที่เขาให้มายุสุมิพักพลางเอ่ยถาม เพราะหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ และบอกเรื่องที่จะไปซื้อของวันนี้พร้อมกับให้สาวใช้จัดเสื้อผ้า รุ่นพี่ที่กลายเป็นผู้หญิงของเขาก็หายเข้าห้องไปนานเป็นชั่วโมง ให้สาวใช้มาตามหลายครั้งก็ไม่ยอมเปิดประตู ไม่ยอมตอบอะไรจนนายน้อยของบ้านต้องขึ้นมาตามเอง

“มายุสุมิซัง…?”

เด็กหนุ่มส่งเสียงเรียกอีกครั้ง ก่อนที่ประตูห้องจะถูกแง้มออกมาช้า ๆ

“อาคาชิ…ถามสาวใช้นายให้หน่อยสิว่าไอ้นี่มันใส่ยังไง” มายุสุมิทำสีหน้ายุ่งสุด ๆ พร้อมกับยื่น ‘ไอ้นี่’ ที่ว่าออกมา อาคาชิกะพริบตามองของในมือเรียวบางแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนถือ

“บราเซียร์น่ะเหรอครับ…”

“…เออ บราเซียร์นั่นล่ะ”

“เอาสายคล้องแขนแล้วก็ติดตะขอไงครับ”

“ก็มันติดไม่ได้นี่!”

“ให้ผมเรียกคนใช้มาติดให้ไหมครับ?”

“ไม่เอา! ไม่อยากให้ใครมาเห็นฉันในสภาพนี้หรอกนะ!”

อาคาชิถอนหายใจพรืดอย่างจนปัญญา แล้วใช้มือผลักประตูเหมือนจะเปิดเข้าไป ทำให้มายุสุมิที่แอบอยู่หลังประตูสะดุ้งรีบดันฝืนไว้ทันที

“จะทำอะไรของนายน่ะ!?”

“ช่วยคุณใส่บราไงครับ หันหลังไปแล้วเอาสายคล้องไหล่ไว้ให้ดีนะครับ” เด็กหนุ่มแย้มรอยยิ้มบาง ๆ แล้วออกแรงดันประตูมากขึ้นอีก ทว่าสำหรับมายุสุมิแล้ว รอยยิ้มนั่นไม่ต่างจากรอยยิ้มของปีศาจร้ายแสนซนเลย

“ดะ…เดี๋ยวสิ! เข้าใจแล้ว! แล้วก็เลิกดันสักที!” เด็กหนุ่มที่กลายเป็นสาวร้องลั่นก่อนจะดันประตูปิด

อาคาชิแอบหัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางมองประตูห้องที่ปิดเงียบไปอีกพักหนึ่ง ก่อนจะมีเสียงดังลอดออกมา “เรียบร้อยแล้ว” เด็กหนุ่มจึงค่อย ๆ ผลักประตูเข้าไป

มายุสุมิยืนหันหลังให้เขาอยู่ บราเซียร์ถูกสวมไว้กับไหล่บางทั้งสองข้างแล้ว เหลือก็แต่ตะขอที่ยังไม่ได้ติดให้เรียบร้อย ท่อนล่างสวมกระโปรงพลีตยาวคลุมเข่ากับรองเท้าบูทยาว ส่วนเสื้อเชิ้ตและคาร์ดิแกนสีอ่อนที่สาวใช้ของเขาจัดมาให้ยังกองอยู่บนเตียง กัปตันของราคุซันยิ้มบางแล้วก้าวเข้าไปยืนด้านหลังอย่างเงียบ ๆ

“คุณดูต่างจากตอนเป็นผู้ชายนิด ๆ นะครับ” อาคาชิเอ่ยพลางช่วยติดตะขอบราให้

“หมายความว่าไง?” มายุสุมิปล่อยผมที่รวบไปไว้ด้านหน้าพลางหันมามอง

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ แค่ว่า…ผมรู้สึกแบบนั้นเท่านั้นเอง” เด็กหนุ่มผมแดงยิ้มหวานก่อนจะผละออกมา หันไปหยิบเสื้อเชิ้ตที่อยู่บนเตียงส่งให้ “เรียบร้อยแล้วครับ นี่เสื้อของคุณ…ต้องให้ผมช่วยใส่ไหมครับ?”

“ใส่เองได้!” มายุสุมิฉวยเอาเสื้อไปแล้วหันหลังให้กัปตันทีมเพื่อสวมให้เรียบร้อย อาคาชิอมยิ้มน้อย ๆ ถือวิสาสะเอื้อมมือไปช่วยจัดปกเสื้อเชิ้ตให้คนตรงหน้า สาวสวยหันมาเหลือบค้อนใส่ด้วยสายตาเข้าให้ทีหนึ่งแต่เขาก็เพียงแค่หัวเราะในลำคอโดยไม่ใส่ใจ

“ผมจะรออยู่ข้างล่าง ถ้าเรียบร้อยแล้วก็รีบไปกันนะครับ”

 

หลังแต่งตัวเรียบร้อย แจกแจงเรื่องที่จะไปทำในวันนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง อาคาชิก็พามายุสุมิเดินออกจากคฤหาสน์โดยที่ปฏิเสธคนขับรถที่อาสาจะไปส่ง แม้คนเป็นรุ่นพี่จะนึกแปลกใจ แต่เด็กหนุ่มผมแดงก็เพียงยิ้มอย่างใสซื่อให้เหตุผล “อยากมีเวลาคุยกับมายุสุมิซังตามลำพังน่ะครับ”

“เหตุผลอะไรของนายกัน” มือเรียวของมายุสุมิกระชับสายกระเป๋าสะพายที่คล้องบ่า เป็นของอีกอย่างหนึ่งที่สาวใช้เตรียมไว้ให้ แอบประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่คนของอาคาชิจัดหาเสื้อผ้า รองเท้าและชุดชั้นในให้เขาได้พอดิบพอดีขนาดนี้…ทั้งในความหมายเรื่องเวลาและไซส์น่ะนะ

“ก็เป็นเหตุผลตรงไปตรงมาแบบนั้นล่ะครับ…” อาคาชิหัวเราะเบา ๆ “หลังจากวันนั้นบนดาดฟ้า เราก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ เพราะมายุสุมิซังบอกว่าอยากจะใช้เวลาตามลำพัง ไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสดีไม่น้อยเลย

“อะไรนะ?” มายุสุมิหันไปมองคนข้างกายเพราะได้ยินเสียงพึมพำ แต่อาคาชิก็เพียงส่ายหน้าไปมา

“นั่งรถไฟไปไหมครับ? หรืออยากเดินชมวิวไปเรื่อย ๆ”

“ขาลากพอดีน่ะสิ…” มายุสุมิถอนหายใจพลางดึงแขนเสื้อคนข้างตัวเบา ๆ เรียกให้รุ่นน้องหันมามองได้ไม่ยากนัก ดวงตากลมหลุบลงเล็กน้อยก่อนจะถามเสียงเบา “นายว่า…ฉันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหม?”

“เพิ่งวันที่สองเอง…กังวลแล้วเหรอครับ” ริมฝีปากของอาคาชิคลี่เป็นรอยยิ้มอ่อนโยน มือเอื้อมไปเกี่ยวเส้นผมสีอ่อนที่ระอยู่ข้างแก้มเนียนเหน็บข้างหูให้รุ่นพี่อย่างนุ่มนวล “ออกปากไปแล้วว่าจะหาทางช่วย ผมก็ไม่ผิดสัญญาหรอกครับ”

มายุสุมิเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะยอมพยักหน้าและเหลียวกลับไปมองทางเหมือนเดิม อาคาชิเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ดึงมือกลับมาโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวลงระหว่างที่เดินไปยังสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดท่ามกลางบรรยากาศเย็น ๆ ต้นเดือนกุมภาพันธ์

ทั้งสองคนขึ้นรถไฟไปด้วยกันโดยไม่ได้สนทนาอะไรกันมากนัก เพราะมายุสุมิเป็นคนเงียบ ๆ ส่วนอาคาชิก็พอใจที่จะยืนมองรุ่นพี่นั่งอ่านไลท์โนเวลขณะรถที่เต็มไปด้วยผู้คนเคลื่อนผ่านตามทางใต้ดินมากกว่าชวนคุยให้เสียสมาธิ ดวงตากลมของมายุสุมิเหลือบมองเขาบ้างเป็นระยะ แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร ทำให้อาคาชิอดที่จะยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้

ในที่สุดเสียงประกาศสถานีที่จะลงก็ดังขึ้น มายุสุมิพับไลท์โนเวลเก็บใส่กระเป๋า ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ความสูงระดับใกล้เคียงกันจนตาสบกันพอดิบพอดี

“อะไร? ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” เสียงหวานถามห้วน อาคาชิปล่อยมือจากราวจับ โอบแขนไปดันไหล่มายุสุมิให้เดินนำไปก่อนโดยไม่ตอบอะไร จนคนอายุมากกว่าต้องเผลอร้องด้วยความตกใจ “อย่าดันสิ!”

“ทุกคนคอยอยู่นะครับ” ไม่รู้จะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจก็เถอะ แต่เสียงพูดของอาคาชิที่มาอยู่ตรงข้างหูเข้าพอดีทำให้มายุสุมิสะดุ้งน้อย ๆ พอก้าวออกมานอกขบวนรถแล้ว เขาจึงก้าวมาเดินข้าง ๆ แทน “เป็นอะไรรึเปล่าครับ มายุสุมิซัง?”

ได้ยินคำถามเสียงเรียบเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรแล้วมายุสุมิก็นึกอยากค้อนเข้าให้สักที แต่ก็ได้เพียงส่ายหน้าไปมาแล้วรีบสาวเท้าเดินออกจากสถานี อาคาชิหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเดินตามไป

“ผมนัดทุกคนไว้ที่หน้าห้างสรรพสินค้าครับ” เงาของราคุซันพยักหน้ารับรู้  ซึ่งฝ่ายกัปตันก็ยิ้มบางเมื่อเห็นใบหน้าด้านข้างของคนข้างกายที่กำลังท่าทางลนลานอยู่นิด ๆ …ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกสนุกขึ้นมา จนอยากจะเห็นสีหน้าแบบอื่น ๆ ของมายุสุมิซังมากขึ้นอีก

“เซย์จัง~! ทางนี้จ้า!” เสียงเรียกคุ้นหูทำให้ทั้งสองคนหันไปมอง เห็นพวกมิบุจิกำลังวิ่งมาหา ก่อนที่มายุสุมิจะโดดเข้าไปหลบหลังอาคาชิทันที ฝ่ายคนถูกใช้เป็นโล่ก็ได้แต่ยิ้มแห้งให้กับลูกทีมที่หยุดชะงักอยู่ตรงหน้า

“นั่น…มายุสุมิซังจริง ๆ เหรอ?” มิบุจิเอ่ยเสียงสั่นออกมาเป็นคนแรก “ก็นึกไว้อยู่หรอกนะ แต่ไม่คิดว่าจะ…”

“น่ารัก— โอ๊ย! เจ็บนะเรโอะเน่!” ฮายามะร้องลั่นเพราะแรงเกินจำเป็นของมิบุจิที่โถมลงมาบนเท้าเนื่องจากเห็นว่ามายุสุมิกำลังทำหน้าเหมือนอยากฆ่าคนแล้ว

“ฉัน-ไม่-น่ารัก”

น่ารักจะตาย…ราชันย์ไร้มงกุฎทั้งสามตอบในใจ แต่ก็ได้แต่เก็บไว้ในใจแบบนั้นเพราะขืนพูดออกไป ต่อให้เป็นมายุสุมิก็คงจะไม่เอาพวกเขาไว้แน่

ในที่สุดเด็กหนุ่มที่กลายร่างเป็นสาวก็ยอมผละจากหลังของอาคาชิเพราะรู้ตัวว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะหลบซ่อนตัว แต่ก็ยังคงต้องหลบสายตามิบุจิที่กำลังมองเขาหัวจรดเท้าคล้ายกำลังประเมิน

“เข้าใจแล้วล่ะเซย์จัง” รองกัปตันหันไปพยักหน้ากับอาคาชิที่ยิ้มมุมปากและพยักหน้าตอบรับ ปล่อยให้อีกสามคนที่เหลือแต่ได้ยืนงุนงงว่าเข้าใจอะไรกัน แต่ก่อนจะทันได้ออกปากถาม มิบุจิก็คว้ามือมายุสุมิ เดินตรงเข้าไปในห้างสรรพสินค้าอย่างไม่รีรอ

“อาคาชิ…อะไรน่ะ” ฮายามะกะพริบตาปริบ ๆ อาคาชิยิ้มโดยไม่ตอบอะไรแล้วเดินตามทั้งสองคนไป เจ้าตัวจึงได้แต่พยายามลากเนบุยะที่บ่นหิวอยากจะหาอะไรกินไปด้วยกัน

 

ตอนที่หนุ่ม ๆ ราคุซันเดินตามมาจนเจอนั้น มิบุจิดูจะกำลังเพลิดเพลิน(?) กับการเลือกเสื้อผ้าผู้หญิงให้มายุสุมิ ซึ่งว่าที่เจ้าของชุดก็ทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่เต็มประดา มือหอบทั้งเดรสทั้งเชิ้ตและอะไรต่อมิอะไรมากมาย

“รับ” ฮายามะสะดุ้งเล็กน้อยแล้วรีบรับเสื้อผ้าที่รุ่นพี่ส่งมาให้แล้วถือไว้แทน เด็กหนุ่มก้มลงมองปริมาณชุดที่สูงเจียนจะบังทางแล้วชะโงกหน้าไปถามพี่สาวของทีม

“เรโอะเน่…ซื้อเยอะขนาดนี้จ่ายไหวเหรอ?”

“เซย์จังบอกว่าจะออกเงินให้เอง เพราะงั้นหายห่วงเนอะ? เซย์-จัง!” คนถูกถามหัวเราะอารมณ์ดีพลางหยิบเดรสสีหวานมาอีกชุดทาบตัวมายุสุมิที่เริ่มจะยืนเท้าเอวเหนื่อยหน่าย

“ใช่แล้วล่ะ” อาคาชิอมยิ้มเล็กน้อย สบตารุ่นพี่คนสวยที่มองมาเหมือนจะบอกว่าให้ช่วยหยุดมิบุจิที แม้ทีแรกนึกอยากหยอกแกล้ง แต่เห็นสีหน้ามายุสุมิแล้วนึกสงสาร “ฉันว่าเท่านี้ก็น่าจะพอแล้วนะ จะได้ไปดูอย่างอื่นต่อ”

“นั่นสินะ…” มิบุจิพยักหน้า โยนชุดในมือไปพาดแขนฮายามะไว้ “ต่อไปก็ชุดชั้นใน…เธอคนนั้นมารึยังล่ะเซย์จัง?”

“มาแล้วล่ะ ฉันให้ไปรอที่ร้าน เผื่อว่าเธอจะดูเตรียมไว้ก่อนเลย” กัปตันทีมตอบ ได้ยินดังนั้นมิบุจิก็ผงกหัวรับคำ ลากฮายามะตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินทันที

“เฮ้ย…อาคาชิ ‘เธอ’ ที่ว่านี่มันใคร?” มายุสุมิขมวดคิ้วถาม อาคาชิแย้มยิ้มบาง

“เดี๋ยวเจอก็รู้เองครับ”

เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย มิบุจิก็เดินอารมณ์ดีกลับมาโดยมีฮายามะหอบหิ้วข้าวของตามหลัง ส่วนเนบุยะขอตัวไปหาอะไรกินได้สักพักแล้ว พอเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้ว อาคาชิจึงชวนทุกคนไปยังสถานที่นัดพบกับ ‘เธอ’ คนนั้น

หน้าร้านขายชุดชั้นในสตรี…

มายุสุมิเห็นป้ายร้านก็ถึงกับชะงักเตรียมหมุนตัวเดินหนีเพราะรู้ชะตากรรม แต่มิบุจิคว้าเอาไว้ได้ทันท่วงที

“อ๊ะ อาคาชิคุงง!” เสียงใสร้องทักทายแทบจะทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในร้าน อาคาชิยิ้มบางรับคำทักทายนั้นขณะมองเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีชมพูยาวสลวยที่วิ่งมาหา

“สวัสดีโมโมอิ อาโอมิเนะก็มาด้วยเหรอ?”

“เออ…ไม่ได้อยากมานักหรอก แต่ยัยซัทสึกิน่ะสิ ว่าแต่นั่นน่ะเหรอรุ่นพี่นาย ไม่เลวนี่หว่า…ต่างจากตอนเป็นผู้ชายลิบลับเลย” อาโอมิเนะปิดปากหาวเอ่ยพลางมองมายุสุมิหัวจรดเท้า ดูแล้วจะไม่ค่อยมีปัญหากับการอยู่ในร้านชุดชั้นในสักเท่าไหร่

“อาโอมิเนะ…” อาคาชิยิ้มหวานเรียกเสียงเย็น ทำเอาอาโอมิเนะสะดุ้ง โดนจับได้ซะงั้นว่าแอบมองหน้าอกรุ่นพี่คนสวยอยู่

“จ้องขนาดนั้นใครก็รู้ตัวย่ะ ไดจังลามก…” โมโมอิเบะปากให้เพื่อนชายก่อนจะเดินเข้าไปหามายุสุมิที่ยืนกอดอกบังสายตาลามกของเจ้าเด็กรุ่นปาฏิหาริย์อยู่ “โมโมอิ ซัทสึกิค่ะ อาคาชิคุงให้ฉันมาช่วยมายุสุมิซังเลือกชุดชั้นใน ไม่ต้องกังวลนะคะ เชื่อมือได้เลย!”

มายุสุมิอ้าปากยังไม่ทันตอบอะไรก็ถูกคว้าข้อมือลากไปยังราวชุดชั้นในอย่างรวดเร็ว

“ฮุฮุ สาว ๆ นี่ร่าเริงจริง ๆ นะ” มิบุจิหัวเราะแล้วเดินตามไปช่วยดูด้วยอีกแรง ทิ้งให้ผู้ชายสามคนได้แต่มองหน้ากันแล้วตัดสินใจเดินไปหาที่นั่งคอย

“แปลกนะ…ที่นายทำเพื่อคนอื่นขนาดนี้” เสียงพูดลอย ๆ ของอาโอมิเนะที่หย่อนก้นลงบนม้านั่งด้วยท่าทีเกียจคร้านทำให้ฮายามะอดเงยหน้ามองอาคาชิซึ่งถูกพาดพิงถึงในทีไม่ได้ จักรพรรดิแห่งราคุซันหัวเราะเบา ๆ

“ก็เปล่านี่…มายุสุมิซังต้องการความช่วยเหลือ ฉันก็แค่ช่วยเท่าที่ช่วยได้เท่านั้น”

“เหรอ…” เอซโทโอเหลือบสายตามามอง เห็นอาคาชิไม่ได้มองตอบเขา แต่กำลังจ้องรุ่นพี่ที่กลายเป็นสาวอยู่ ส่วนฮายามะที่แอบฟังบทสนทนาอยู่เงียบ ๆ ก็นึกแปลกใจขึ้นมาเหมือนกัน

นั่นสินะ…อาคาชิกับมายุสุมิซังก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันมากไปกว่าที่สนิทชิดเชื้อกับพวกเขา แล้วปกติกัปตันทีมก็ไม่ได้มีท่าทีกระตือรือร้นอยากช่วยใครแบบนี้

นี่มัน…โคตรประหลาดเลย

อ้าวชิบ เกิดอาคาชิอ่านใจเขาได้ทำไงเนี่ย คิดได้แบบนั้น ฮายามะก็เผลอเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างหวาดระแวง ก่อนจะต้องขนลุกเกรียวเพราะเห็นดวงตาสีแดงของจักรพรรดิแห่งราคุซันเหลียวกลับมามองตอบทั้งรอยยิ้ม

“กลับมาแล้วจ้า! รอนานรึเปล่า~” เสียงใสของผู้จัดการทีมโทโอที่ดังขึ้นเรียกให้อาคาชิหันไปก่อนราวกับระฆังช่วยชีวิต ฮายามะลอบถอนใจพรืด โชคดีของเขาจริง ๆ

“เรียบร้อยดีนะครับ มายุสุมิซัง?” เอ่ยถามรุ่นพี่ที่กำลังยืนหน้ามุ่ย มือถือถุงใส่ชุดชั้นในที่ออกแบบอย่างสวยงามด้วยท่าทางไม่สู้จะยินดีเท่าใดนัก แต่มันก็ทำให้เขาอดอมยิ้มไม่ได้

…น่ารัก

“ฉันรู้นะว่านายกำลังคิดว่าฉันน่ารัก…หยุดความคิดนั่นเดี๋ยวนี้อาคาชิ” คนถูกแอบชมในใจแยกเขี้ยวใส่ ยิ่งพาให้อาคาชิรู้สึกว่าเป็นท่าทางที่ดูราวกับลูกแมวกำลังพองขนฟูฟ่อง กระนั้นด้วยความเกรงใจในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง เขาจึงเลือกเก็บความคิดนั้นไว้ลึกสุดใจ

“ขอโทษด้วยครับ” พูดออกไปแบบนั้นโดยทำเป็นเลี่ยงไม่สนใจสีหน้าเหวอ ๆ ของคนรอบข้างที่ไม่รู้กำลังตกใจเรื่องอะไรกันแน่ระหว่างเขาออกปากขอโทษกับคิดว่ามายุสุมิซังน่ารัก

“อะ…อาคาชิคุง ต่อไปจะดูอะไรต่อดีเหรอจ๊ะ? ได้เสื้อผ้ากับชุดชั้นในแล้ว ต่อไปเครื่องสำอางดีไหม!” โมโมอิแทรกขึ้นเพื่อลดบรรยากาศเงียบกริบทั่วบริเวณ

“ฉันแต่งหน้าเป็นที่ไหนกันล่ะ— ไม่สิ ทำไมฉันต้องแต่งหน้าด้วย!” เหยื่อช้อปปิ้งหรี่ตาเอ่ย แต่ผู้จัดการทีมโทโอก็เพียงแค่ยิ้มหวานอย่างใสซื่อ

“เป็นผู้หญิงก็ต้องแต่งหน้าให้สวย ๆ สิคะ! เรื่องนั้นไม่ยากหรอกค่ะ ฉันจะสอนให้เอง!”

“อุ๊ย เรื่องนั้นฉันเห็นด้วยนะจ๊ะ…มายุสุมิซัง การแต่งหน้าก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้หญิงนะ ไม่ต้องกลัวไปหรอก” มิบุจิพยักหน้าเข้าข้างฝ่ายโมโมอิ และยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากคัดค้านหรือปฏิเสธ มายุสุมิก็ถูกคว้าข้อมือ พาตรงไปยังร้านเครื่องสำอางที่อยู่ไม่ห่างทันที

“เฮ้ย…ไม่ห้ามซัทสึกิจะดีรึไง?” อาโอมิเนะอ้าปากหาวด้วยท่าทีหน่ายแทน เห็นรุ่นพี่คนสวยถูกลากถูลู่ถูกังไปทางโน้นทีทางนี้ทีก็เหมือนเห็นภาพทับซ้อนกับตัวเองชอบกล “สงสารเลยว่ะ”

อาคาชิแย้มรอยยิ้มโดยไม่ตอบอะไรขณะเดินตามพวกสาว ๆ ไป

 

“ไม่ได้นะคะ! มายุสุมิซังผิวขาว เลือกสีนั้นก็ยิ่งซีดไปอีกน่ะสิคะ”

“แต่ฉันว่าสีนั้นก็สดไปสำหรับมายุสุมิซังอยู่ดีนะจ๊ะ…เห็นโมโมอิจังแต่งหน้าไม่แรงแท้ ๆ ไม่นึกเลยว่าจะเลือกสีฉูดฉาดแบบนั้น เดี๋ยวก็เห็นแต่ปากเข้าหรอก”

ภาพที่ปรากฏต่อหน้าพวกอาคาชิ คือโมโมอิกับมิบุจิกำลังยืนเถียงกันอยู่หน้าเคาน์เตอร์ลิปสติก โดยมีมายุสุมิกลอกตามองบนประกอบฉากอยู่ข้างหลัง สีหน้าเทียบกับตอนเลือกเสื้อผ้าแล้วบอกได้ว่าเบื่อเซ็งคูณสอง ซึ่งพอสาว ๆ หันมาเห็นพวกเขาก็ร้องถามออกมาพร้อมกัน

“ไดจัง! / เซย์จัง! คิดว่าสีไหนเหมาะกว่ากัน!!”

“หา…ฉันจะไปรู้เรอะ!” อาโอมิเนะตอบกลับอย่างรวดเร็ว ขณะอาคาชิยกมือแตะปลายคางครุ่นคิดก่อนจะเดินเข้าไปยืนมองลิปสติกเทสเตอร์บนเคาน์เตอร์ สลับกับมองหน้ามายุสุมิอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอื้อมไปหยิบตลับลิปบาล์มสีชมพูอ่อนเรื่อแท่งหนึ่งมา

“สำหรับมายุสุมิซัง…แค่ลิปบาล์มสีอ่อน ๆ ก็เหมาะแล้วล่ะครับ”

แน่นอนว่ามายุสุมิถลึงตาใส่เข้าให้ แต่อาคาชิก็ยังยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา ส่วนคนอื่นรอบข้างก็เหวอไปตามระเบียบ เพราะไม่คาดคิดว่าจักรพรรดิแห่งราคุซันจะเก่งไปทุกทางขนาดนี้ แม้แต่เลือกสีลิปสติกผู้หญิง

“เซย์จังสุดยอดด! ไว้เลือกให้ฉันบ้างนะจ๊ะ~” มิบุจิโผเข้ามากอดแขนกัปตันแน่น ขณะที่โมโมอิหันไปบอกพนักงานและเตรียมไปคิดเงินรวมกับเครื่องสำอางอื่น ๆ ที่เลือกไว้ก่อนหน้า พอเห็นกองของที่ต้องจ่าย อาคาชิก็นึกได้เงยหน้ามองรุ่นพี่ที่กลายเป็นสาว เพิ่งสังเกตนี่เองว่าเหมือนมายุสุมิจะโดนลองจับแต่งหน้าดูบ้างนิดหน่อยแล้ว

“สวยมากเลยครับ มายุสุมิซัง”

“…!” มายุสุมิอ้าปาก ตั้งท่าเหมือนจะตวาดอะไรสวนกลับมาแต่พอมองซ้ายมองขวาแล้วก็เงียบไป ซึ่งคนผมแดงก็เดาได้ว่าคงเป็นอะไรราว ๆ ‘ฉันเป็นผู้ชาย อย่ามาชมว่าสวยจะได้ไหม’ แบบนั้นแน่ “อย่ามาอ่านใจฉันนะอาคาชิ!”

“มายุสุมิซังก็อย่าอ่านใจผมด้วยสิครับ” จักรพรรดิสีแดงเอียงคอยิ้มหวาน ทำให้มายุสุมิชะงักกึกก่อนจะรีบหันขวับไปอีกทาง ดูจะหัวเสียไม่น้อยเพราะวันนี้เหมือนจะพูดได้ไม่เต็มที่

อาโอมิเนะผิวปาก “ใจสื่อถึงกันด้วยไงพวกนาย…”

“กลับมาแล้วค่า! ไดจังไม่ดื้อไม่ซนใช่ไหม?” ก่อนที่เอซแห่งโทโอจะโดนดีเข้า โมโมอิก็หิ้วถุงเครื่องสำอางกลับมาพอดี หลังจากยัดใส่มือฮายามะเรียบร้อยแล้วก็หันไปดึงเพื่อนสมัยเด็กออกมาไม่ให้ไปกวนมายุสุมิซังอีก

“ขอบคุณมากนะ โมโมอิ เดินทางมาไกลคงเหนื่อยแย่เลย ถ้ายังไงไปทานข้าวกลางวันด้วยกันไหม” อาคาชิถามอดีตผู้จัดการทีมของตนเองทั้งรอยยิ้มบาง

“อื๊อ…ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ไดจังตื่นสายไม่ได้กินข้าวเช้า พวกเราก็เลยเพิ่งกินตอนมาถึงนี่เอง แล้วก็มีธุระด้วย ว่าจะกลับเลยน่ะจ้ะ” โมโมอิเอ่ยตอบร่าเริง ก่อนจะหันไปหามายุสุมิ “มายุสุมิซังคะ อย่าลืมที่บอกไปนะคะ! เป็นผู้หญิงแล้ว ต้องดูแลตัวเองมาก ๆ อาคาชิคุง ฝากมายุสุมิซังด้วยนะ!”

“เข้าใจแล้ว” อาคาชิยิ้มรับคำ ขณะมายุสุมิทำหน้าเบ้ หลังจากมองส่งทั้งสองคนจนไปพ้นสายตาแล้ว สมาชิกราคุซันจึงหันกลับมาปรึกษากันว่าจะทำอะไรต่อไป

“กินข้าวแหงอยู่แล้ว!”

“เอย์จังเพิ่งกินมาไม่ใช่รึไง!”

ขณะกำลังเดินตามเนบุยะที่เพิ่งกลับมารวมตัวกับทุกคนไปยังร้านอาหารที่เจ้าตัวเซอร์เวย์มาเรียบร้อยแล้วว่าอร่อยแน่ อาคาชิก็ละสายตาจากเพื่อนร่วมทีมที่กำลังส่งเสียงโหวกเหวกกันเหมือนเคย ไปมองชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ห่าง ๆ

กำลังมองมายุสุมิซังอยู่?

หากว่ากันโดยทั่วไปก็ไม่ถือว่าแปลก เพราะรุ่นพี่ที่กลายเป็นผู้หญิงแล้วนั้นนับว่าเป็นสาวสวยคนหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิแห่งราคุซันนึกประหลาดใจเพราะฝ่ายที่ถูกมองคือมายุสุมิซังต่างหาก

ปกติแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเลยไม่หรือ…

AkaMayu · Fiction

Kuroko no Basuke : The Emperor And The Girl Ch. 01 (AkaMayu)

Title : The Emperor And The Girl (จักรพรรดิและเด็กสาว)

Paring : Akashi Seijurou x Mayuzumi Chihiro (c)

Rate : PG-13

Note : นายน้อยเป็นโอเรชินะคะ (แม้จะมีแต่คำแทนตัวว่า ผม ก็เถอะ) ไม่เคยแต่งนายน้อยมาก่อนเลย…แน่นอนพี่มายุด้วย หากมีข้อผิดพลาดแต่ประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ m(_ _)m

 

The Emperor And The Girl : Chapter 1 ‘She’ is Behind the Door

 

“เอ๋?…มายุสุมิซังไม่ยอมออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า?”

อาคาชิกะพริบตาปริบเมื่อได้ยินสิ่งที่รองกัปตันมิบุจิบอกมา อีกฝ่ายพยักหน้าหงึก ๆ ด้วยสีหน้าไม่สู้สบายใจนัก…จริงอยู่ว่าตอนนี้ไม่มีซ้อม แล้วมายุสุมิไปทำบ้าอะไรที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะหรือ?

เพื่อเก็บของที่ทิ้งไว้ในล็อคเกอร์น่ะสิ…

แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า…เก็บทำแมวอะไรตั้งสามชั่วโมง!?

“เซย์จังช่วยไปดูหน่อยสิ…พวกรุ่นพี่คนอื่นออกมาตั้งนานแล้ว เหลือเขาเป็นคนสุดท้าย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบ แถมยังล็อคห้องไม่ยอมให้ใครเข้าไปอีกต่างหาก เนี่ย…จะเข้าไปเอาของก็เข้าไม่ได้ เอย์จังหิวจนจะพังประตูอยู่แล้วเพราะลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า!” มิบุจิโวยวายด้วยความเครียด ?

“เข้าใจแล้ว”

อาคาชิพยักหน้าก่อนจะเดินตามพี่สาวของทีมไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีฮายามะกับสมาชิกปีสองอีกสองสามคนกำลังพยายามห้ามปรามเนบุยะอย่างสุดความสามารถ

“มายุสุมิ!! เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะโว้ยย! ฉันจะเอากระเป๋าเงินนน!!”

“เอย์จัง! ใจเย็น ๆ ก่อนซี่! ถ้าพังประตูล่ะก็เรื่องใหญ่เลยนะ!” ฮายามะร้อง พยายามกอดรัดร่างยักษ์ของเพื่อนร่วมระดับชั้นไว้อย่างสุดความสามารถ

ตอนนั้นเองที่ประตูห้องถูกแง้มออกมานิด ๆ พร้อมกับกระเป๋าเงินใบขนาดพอดีมือที่ถูกโยนออกมากองแหมะอยู่แทบเท้าเนบุยะ ยังไม่ทันที่ฮายามะจะคว้าประตูไว้มันก็ถูกปิดโครมลง ตามด้วยเสียงล็อคแกร๊กอย่างรวดเร็วภายในเวลาสามวินาทีถ้วน

โอเค…แปลกจริง ๆ แล้ว

“เนบุยะ” อาคาชิก้าวเข้าไปพลางมองเนบุยะที่ก้มลงตะครุบกระเป๋าเงินไว้อย่างรวดเร็ว “เมื่อกี้เห็นเขาหรือเปล่า?”

“ไม่เห็น มันเร็วมากจนมองไม่ทัน”

“ฉันเห็นแวบเดียว…ไม่ทันสังเกตรายละเอียดอะไรน่ะนะ แต่ก็รู้สึกว่ามายุสุมิซังดูแปลก ๆ ไป” ฮายามะตอบบ้าง อาคาชิยกมือแตะปลายคาง ก้มหน้าลงคิดด้วยความฉงน ปกติมายุสุมิซังไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา

“เซย์จัง…ทำไงดี” มิบุจิถามอย่างเป็นกังวล ไอ้กังวลเรื่องมายุสุมิก็กังวลอยู่หรอก แต่กังวลกว่าถ้าต้องเจียดงบอันล้ำค่าของชมรมไปซ่อมประตูที่พังไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตามย่ะ!

“ทุกคนกลับไปก่อนเถอะ ที่เหลือฉันจัดการเอง” อาคาชิหันไปบอก ซึ่งทุกคนในทีมก็ได้แต่มองหน้ากัน

“แต่ว่า…”

“อย่างที่บอก…ที่เหลือ ‘ผม’ จัดการเองไงล่ะ” เปลี่ยนสรรพนามเอ่ยย้ำพร้อมแถมรอยยิ้มหวาน ทำเอาทุกคนในที่นั้นต้องสะดุ้งกันคนละทีแล้วรีบสลายตัวอย่างรวดเร็ว

อาคาชิถอนหายใจเมื่อในที่สุดบรรยากาศโดยรอบก็สงบลงจนได้ อย่างน้อยก็คงพอช่วยให้คนที่อยู่ข้างในใจเย็นลงบ้าง เด็กหนุ่มเดินมาหยุดยืนหน้าประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเอื้อมไปเคาะเบา ๆ พร้อมส่งเสียงเรียก

“มายุสุมิซังครับ”

“……”

“มายุสุมิซัง”

“……”

“มายุสุมิซัง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

“……”

“มายุสุมิซัง ตอบด้วยครับ”

“……”

“…….”

“…….”

“…….”

“…….”

“จิฮิโระ…ถ้ายังไม่ยอมมาเปิดประตูนะ—”

“เออ รู้แล้ว! หนวกหูน่า!”

เสียงที่ตะโกนกลับออกมาจากในห้องทำให้อาคาชิชะงัก… “มายุสุมิซัง…เสียงคุณ?”

มันหวานแปลก ๆ อยู่นะ…

“หุบปากไปเลย! แค่เปิดประตูก็พอใช่มั้ย!” เสียงตึงตังดังขึ้นจากอีกฟากของประตู ตามมาด้วยเสียงก๊อกแก๊ก ก่อนที่ประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของชมรมบาสเกตบอลชายโรงเรียนราคุซันที่ปิดตายมากว่าสามชั่วโมงจะเปิดออก

…เผยให้เห็นร่างโปร่งบางของ ‘หญิงสาว’ ผมสีอ่อนยาวสลวยที่ยืนอยู่ข้างใน

“มายุ…สุมิซั—”

อาคาชิยังพูดไม่ทันจบก็ถูกสาวสวยคนนั้นฉุดเข้าห้อง เสียงประตูปิดลงดังปัง พร้อมกับมือเรียวที่ยื่นผ่านตัวเขาไปกดล็อคประตูห้องอีกครั้ง

เด็กหนุ่มผมสีแดงยืนมองรุ่นพี่ที่ยืนหอบหายใจอยู่ตรงหน้า…อาจจะด้วยความตื่นเต้น หรือความรีบร้อน ไม่ก็ตกใจ แต่สรุปง่าย ๆ คงทุกอย่างรวมกัน

“มายุสุมิซัง…”

“เรียกอะไรนักหนา!?” ในที่สุดมายุสุมิก็ยอมเงยหน้าขึ้น อาคาชิเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

ถึงจะใส่ชุดนักเรียนชายอยู่ แต่ชุดนั้นมันก็ดูหลวมโพรกไปมาก ผมสีอ่อนคุ้นตาที่เคยสั้นระต้นคอ ตอนนี้ทิ้งตัวยาวลงมาถึงเอวบาง ๆ คอดกิ่ว มายุสุมิเคยตัวสูงกว่าเขา แต่ตอนนี้พอ ๆ กัน…จากที่ประมาณด้วยสายตา น่าจะตัวเล็กกว่าเขาสักเซนต์สองเซนต์ได้ ผิวพรรณก็ดูนุ่มนิ่มมีน้ำมีนวลขึ้น แถมยัง…หน้าอก—

“ถ้าไม่เลิกมองฉันจะทิ่มตานายจริงด้วย”

“ขอโทษครับ” โทษความช่างสังเกตของตัวเองสักทีแล้วกัน ถึงจะไม่ได้อยากมองเจาะลึกขนาดนั้นแต่ก็อดไม่ได้จริง ๆ นั่นล่ะ

เป็นครั้งแรกเลย…ที่มีคนรู้จักกลายร่างเป็นผู้หญิงแบบนี้

“มายุสุมิซัง…เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ? ทำไมถึงกลายเป็นผู้หญิงไปแบบนี้” อาคาชิขมวดคิ้วถาม ดวงตาไม่ค่อยมีแววนักของมายุสุมิกวาดไปมาล่อกแล่ก ทำให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องนึกเดาได้ไม่ยากว่าเหตุผลมันคงน่าอายแทบบ้าสำหรับเจ้าตัว

“กินยาผิดน่ะ…”

แม้แต่อาคาชิ เซย์จูโร่ยังต้องชะงักเมื่อได้ยินคำตอบพิลึกพิลั่นพรรค์นั้น

“…ยาอะไรทำให้เปลี่ยนเพศได้อย่างกะทันหันแบบนี้…ไม่มีหรอกนะครับ”

“นี่จะหาว่าฉันเพ้อเจ้อใช่มั้ยหา!?”

ก็อยากจะบอกว่าคุณมันเพ้อเจ้ออยู่หรอก…แต่ก็ไม่มีข้อโต้แย้งว่าถ้าไม่ใช่ยา แล้วมันคืออะไรที่ทำให้มายุสุมิซังกลายเป็นผู้หญิงไปได้ล่ะ?

อาคาชิมองอีกคนอย่างอับจนคำพูดโต้ตอบ มายุสุมิถอนหายใจยาวพรืดก่อนจะเริ่มเดินวนไปมาในห้องแล้วไปหยุดลงด้วยการทิ้งตัวนั่งบนม้านั่งกลางห้อง

“จู่ ๆ ฉันก็ปวดหัว เลยไปขอยาที่ห้องพยาบาล อาจารย์ก็ให้ยามาตามปกติ— อย่างน้อยฉันก็คิดว่าปกตินะ แต่พอมาเก็บของที่ห้องนี้ก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ แล้วพอทุกคนออกไปกัน ฉันก็กลายเป็นแบบนี้!” มือขาว ๆ ถูกยกขึ้นมาปิดหน้าด้วยความเครียด อาคาชิได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง ในหัวก็คิดประมวลไปพลาง ๆ ด้วย

ยานั่นมันคือยาอะไร…อาจารย์ห้องพยาบาลจะสะเพร่าถึงขนาดหยิบยาให้ผิดได้หรือ?

“อาคาชิ! นายต้องช่วยฉันนะ! ต้องคืนร่างเดิมให้ทันวันจบการศึกษา! ฉันเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้!” ตอนกำลังใช้ความคิด มายุสุมิก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับร้องออกมา

เป็นครั้งแรกที่คนฉลาดอย่างอาคาชิยังรู้สึกอับจนหนทาง แต่เมื่อเห็นสายตาของรุ่นพี่ที่ดูสับสนทำอะไรไม่ถูก เขาก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วยิ้มบาง ๆ

“…ไม่มั่นใจว่าจะทำอะไรได้ไหม แต่ก็จะลองดูครับ”

“อา…ฝากด้วยล่ะ!”

“ว่าแต่…ระหว่างอยู่ในร่างผู้หญิงแบบนี้ มายุสุมิซังจะทำยังไงครับ?”

“ไม่ทำอะไรทั้งนั้น…จะหยุดเรียน! จะไม่เจอใครทั้งนั้น!”

“เดี๋ยวเวลาเรียนก็ไม่พอหรอกครับ” อาคาชิเอ่ยเตือน เพราะยังเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงสอบปลายภาค ไหนจะยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีก ทำให้มายุสุมิเบ้หน้าทันที

“งั้นนายก็รีบทำให้ฉันหายสิ”

“มันทำได้ง่าย ๆ ที่ไหนกันล่ะครับ…คุณโดนยาอะไรมาผมยังไม่รู้เลย ถ้าจะทำให้เป็นเหมือนเดิมก็คงจะต้องปรุงยาแก้ ซึ่งจะทำได้ ผมก็ต้องได้ศึกษาตัวยาที่ทำให้เกิดผลแบบนี้กับร่างกายก่อน บอกตามตรง ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมียาที่ให้ผลแบบนี้ด้วย แน่ใจนะครับว่าไม่ให้หมอที่เรียนมาเป็นคนช่วย”

“ไม่เอา น่าอายออกจะตายไป กลายเป็นผู้หญิงแบบนี้” บางทีเงาของเขาก็หัวดื้อจนน่าตี…

“เข้าใจแล้วครับ ลองค่อย ๆ หาวิธีแก้กันนะครับ” อาคาชิยิ้มบางพลางเอื้อมมือไปแตะไหล่รุ่นพี่เบา ๆ มายุสุมิเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ

“โทษทีนะ…”

เด็กหนุ่มอดหัวเราะเบา ๆ ในลำคอไม่ได้ เมื่อเห็นรุ่นพี่มายุสุมิผู้ถือตัวและอวดดี พอกลายร่างเป็นเพศตรงข้ามแบบนี้กลับดูงอแงอ่อนไหวอย่างไม่น่าเชื่อ

“ยิ้มอะไร?”

“เปล่าครับ…แล้วคุณจะกลับบ้านทั้งสภาพนี้หรือเปล่าครับ? หรือให้ผมไปขอชุดนักเรียนหญิงมาให้เปลี่ยนแทนเอาไหม?”

“แล้วจะให้ฉันนอนห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านี่หรือไง ไม่เอาด้วยหรอก…ใส่กระโปรงก็ไม่เอา! อีกอย่างนะ…ถ้ากลับไปทั้งแบบนี้ พ่อกับแม่มีหวังตกใจกันแย่สิ”

“จริงด้วย…” อาคาชิพยักหน้าอย่างนึกขึ้นได้ ถ้ามายุสุมิซังกลับบ้านทั้งแบบนี้ คงต้องมีคำอธิบายอีกยาวเลย

“เอาไงดีล่ะเนี่ย…” คนที่กลายเป็นสาวนั่งกุมคางคิดอย่างเคร่งเครียดตอนที่อาคาชิที่ยืนมองอยู่เผลอหลุดบางอย่างออกไปจากริมฝีปาก

“งั้น…มาค้างบ้านผมชั่วคราวไหมครับ”

“…หา?”

 

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านเจ้าค่ะ”

“……”

“เชิญตามสบายเลยนะครับ” อาคาชิหันมายิ้มบางบอกรุ่นพี่ที่ยังยืนแข็งทื่อเป็นหินด้วยความตกตะลึง ตอนแรกเห็นบ้าน— ไม่สิ คฤหาสน์อาคาชิก็ว่าเหลือเชื่อแล้ว ยิ่งเข้ามาข้างใน มีสาวใช้ยืนเรียงแถวรอต้อนรับแบบนี้อีก…พระเจ้าครับ จิฮิโระกลัวคนรวย

“รุ่นพี่ของผมจะมาค้างด้วยสักระยะ ฝากจัดห้องพักให้ด้วยนะครับ ใกล้ ๆ ห้องผมก็ได้” มายุสุมิเดินกล้า ๆ กลัว ๆ ตามอาคาชิที่หันไปสั่งงานสาวใช้ไปท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองเขาคล้ายจะสงสัย คงเพราะเมื่อกี้ไม่ทันเห็นแน่ ๆ

“อาคาชิ…ไม่เป็นไรแน่นะ?” ดึงแขนเสื้อรุ่นน้องไว้แล้วกระซิบเบา ๆ เจ้าของบ้านพยักหน้าน้อย ๆ

“ช่วงนี้คุณพ่อไปทำงานต่างประเทศ คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรครับ มีอะไรบอกคนรับใช้ที่นี่ได้ทุกคน…อ้อ อย่าลืมโทร— ไม่สิ ส่งข้อความบอกทางบ้านด้วยนะครับ”

“รู้หรอกน่า เป็นแค่รุ่นน้อง ไม่ต้องมาสั่งเลย” คนเป็นรุ่นพี่มุ่ยหน้าตอบ ซึ่งอาคาชิก็เพียงแค่ยิ้มบางแล้วเดินนำขึ้นไปยังชั้นสองของคฤหาสน์ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปยังห้องหนึ่งพลางพยักพเยิดให้มายุสุมิตามเข้ามา

“นี่ห้องผมเองครับ ระหว่างรอจัดห้องพักให้ เราจะคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน” เด็กหนุ่มผมแดงตอบพลางเปิดสวิตช์ไฟในห้องพลางผายมือเชิญให้รุ่นพี่ไปนั่งที่เตียง

มายุสุมินั่งลง กวาดสายตามองรอบ ๆ ห้องของอาคาชิ…ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย มีโต๊ะเขียนหนังสือตั้งอยู่ตรงริมหน้าต่างห้อง แล้วก็ชั้นหนังสือวางติดผนัง เตียงนอนก็สำหรับนอนคนเดียว ออกจะดูเรียบง่ายมากกว่าหรูหราอย่างที่ตัวเองจินตนาการมาตลอด

“คุณจำได้ไหมครับว่ายาแบบไหนที่อาจารย์ห้องพยาบาลเอาให้ทาน” อาคาชิดึงเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือให้หันมาพลางนั่งลงกอดอก มายุสุมิหันไปมองเจ้าของเสียงแล้วกลอกตานึก

“เม็ดเหมือนยาแก้ปวดธรรมดานั่นล่ะ”

“เอ๋?…จริงเหรอครับ?” อาคาชิเลิกคิ้ว เห็นท่าจะลำบากซะแล้วแฮะงานนี้ ถึงจะไปหายานั่นเพื่อนำมาเป็นตัวอย่างตรวจสอบ ก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันเม็ดไหนที่ทำให้มายุสุมิซังกลายเป็นแบบนี้ หรือความเป็นไปได้ที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือ…เจ้ายาพาซวยเม็ดนั้น อาจจะมีเพียงเม็ดเดียวที่รุ่นพี่ของเขากินเข้าไปแล้ว

“ทำหน้าแบบนั้น…ฉันซวยแน่แล้วใช่ไหม?”

“ผมไม่ได้พูดนะครับ”

“อา…โธ่! ทำไงดีเนี่ย!” คนดวงตกยกมือปิดหน้าพลางโน้มตัวเท้าศอกกับเข่าด้วยความเครียดแทบบ้า เขาเป็นผู้ชาย! เป็นผู้ชาย! จะให้เป็นสาวน้อยตัวนุ่มนิ่มแบบนี้ตลอดไปไม่ได้หรอก! ริงโกะจังจะมองเขายังไง!

อาคาชิกะพริบตาปริบ ๆ มองท่าทางของรุ่นพี่อย่างหนักใจก่อนจะเอื้อมมือไปดึงคอเสื้อของมายุสุมิขึ้นเบา ๆ จนอีกฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นมา

“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ…แต่เสื้อคุณมันหลวม แถมข้างในยังไม่มีบรา ก็เลย—”

ได้ยินแบบนั้น สาวน้อยมือใหม่ก็หน้าแดงเรื่อรีบดีดตัวขึ้นนั่งตรงกอดอกตัวเองไว้ทันที ดวงตาสีอ่อนมองอาคาชิอย่างตกใจปนหวาดระแวงจนรุ่นน้องผมแดงต้องหลุดหัวเราะเบา ๆ

แปลกดีเหมือนกัน…นี่เป็นครั้งแรกของอาคาชิ ที่มองว่าใครสักคน ‘น่ารัก’ แม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นหนุ่มรุ่นพี่ปีสามผู้ถือตัวและไม่น่าคบก็ตามที

…ทำไมถึงได้คิดว่ามายุสุมิซังน่ารักไปได้กันนะ เด็กหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ คล้ายจะเรียกสติตัวเองกลับมา

“ทำยังไง…จะกลับเป็นอย่างเดิมได้กันนะ” จู่ ๆ มายุสุมิที่ดูจะสงบสติได้แล้วก็เอ่ยพึมพำออกมา “หรือว่าต้องจูบแห่งรักแท้ถอนคำสาปแบบในนิทาน”

…เพ้อเจ้อมากครับ อาคาชิตอบในใจ “แต่ถ้าต้องเป็นแบบนั้นจริง ๆ …มายุสุมิซังก็ควรจะหาแฟนไว้จูบถอนคำสาปได้แล้วนะครับ”

“งี่เง่า!”

“นายน้อยเจ้าคะ ห้องจัดเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงแหบ ๆ คล้ายจะเป็นของหญิงวัยค่อนชรา มายุสุมิเบ้หน้าเล็กน้อยก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วลุกขึ้นยืน

“มายุสุมิซัง อย่าลืมส่งข้อความบอกทางบ้านนะครับ”

ก่อนจะได้เดินออกไป เสียงของอาคาชิก็พูดสำทับเรื่องเก่ากับเขาอีกรอบ “เออ! รู้แล้ว” ชักเสียงพลางหยิบมือถือมากดพิมพ์ข้อความบอกให้ดูต่อหน้าไปเลยจะได้จบ ๆ อีกฝ่ายเมื่อเห็นเขากดส่งข้อความเรียบร้อยก็พยักหน้าพอใจก่อนจะเดินนำไปที่ประตูห้อง

“มายุสุมิซังครับ พรุ่งนี้วันเสาร์…เราไปซื้อของกันไหมครับ?”

“หา?”

“ชวนพวกมิบุจิไปด้วย”

“ไม่เอา!”

“ไม่ได้นะครับ…คุณจะเป็นแบบนี้อีกกี่วันไม่รู้ เดี๋ยวไม่มีเสื้อผ้าใส่จะลำบากเอา ยังไงซะให้มิบุจิลองช่วยดูเสื้อผ้า ผมเองก็จะลองโทรถามผู้จัดการทีมเก่าให้ด้วย” อาคาชิให้เหตุผลด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่ก็ไม่ได้ดุจนเกินไป มายุสุมิเม้มปากนิด ๆ ก่อนจะนึกตามอีกคน เมื่อคิดสะระตะแล้วก็ยอมจนด้วยคำพูดของอาคาชิ

“ก็…ได้ แต่แค่กลัวจะไม่มีเสื้อผ้าใส่เท่านั้นเองนะ!”

กัปตันทีมบาสเกตบอลชายของราคุซันยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ฟังคำตอบรับของคนสวยตรงหน้า ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายเมื่อมายุสุมิเดินออกไปแล้ว

“สวัสดีโมโมอิ…ขอโทษที่รบกวนนะ มีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย”

 

มายุสุมิเดินตามสาวใช้ของคฤหาสน์อาคาชิไปยังห้องพักที่ถูกจัดเอาไว้ให้ มันเป็นห้องที่อยู่ตรงข้ามห้องของอาคาชิ แต่ประตูอยู่เยื้องกันไปพอสมควร

“เชิญตามสบายนะเจ้าคะ…” สาวใช้เปิดประตูห้องให้แล้วโค้งหัวนิด ๆ

“…ขอบคุณ” มายุสุมิตอบเบา ๆ แล้วก้าวเข้าไปในห้อง ก่อนที่ประตูจะถูกปิดลงทันที เด็กหนุ่มกวาดสายตามองรอบ ๆ …การออกแบบของห้องนี้ไม่ต่างจากห้องของอาคาชิเท่าใดนัก แต่ดูเรียบและโล่งกว่าเพราะมีแค่ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือและเตียงเดี่ยวท่าทางนุ่มสบาย

ร่างบางนั่งลงบนเตียงช้า ๆ พลางถอนหายใจยาว แล้วก้มมองร่างกายของตัวเองที่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งรูปร่าง และความรู้สึกนึกคิดที่เจ้าตัวรู้ดีว่ามันเริ่มเปลี่ยนแปลง

กลายเป็นผู้หญิงไปจริง ๆ ซะแล้ว…

จะเป็นยังไงต่อไปนะ…เขาเนี่ย

 

 

 

 

ลงเพื่อดอง— #เลววว
ตอนแรกจะเป็นมายุอาคาค่ะ แต่แต่งไปแต่งมา ก็จบที่อาคามายุจนได้…
Fiction

Kuroko no Basuke : The Reason That We Love (AoMuro)

Title : The Reason That We Love (เหตุผลที่เรารักกัน)

Pairing : Aomine Daiki x Himuro Tatsuya (C)

Rate : PG-13 

Fandom : Kuroko no Basuke

 

“ทัตสึยะ…วันนี้ก็ไม่ได้งั้นเหรอออ”

“ไม่ได้…”

เสียงหวานนุ่มเอ่ยตอบเรียบและเด็ดขาด ทำให้นายตำรวจอันดับหนึ่งถึงกับมุ่ยหน้า พลิกตัวไปซุกกับหมอนบนเตียงของตัวเองที่นอนกลิ้งอยู่อย่างเซ็งสุดขั้ว

อาโอมิเนะ ไดกิ จำไม่ได้แล้วว่าทำไมถึงมาคบกับยัยรุ่นพี่จอมโหดคนนี้ได้…เรื่องมันก็นานมากกกก (ก.ไก่สักร้อยตัว) แล้ว พอรู้สึกตัวอีกที ก็กลายเป็นว่าเขากับ ฮิมุโระ ทัตสึยะ เด็กนอกคนสวยกลายเป็น ‘แฟน’ อย่างเป็นทางการ—

…ซะเมื่อไหร่ล่ะวะ!?

ตั้งแต่คบกันมาก็สี่เดือนแล้ว ทว่าแค่จะแตะตัวทัตสึยะยังยากเย็นแสนเข็ญ ครั้งแรกจะหอมแก้มก็โดนเหยียบเท้าอย่างจัง ต่อมาจะกอดเอวก็เจอศอกถองเข้าใส่ จะเนียนซุกอกกลายเป็นโดนอุดจมูก จะจูบทีโดนหมัดเสยคาง และครั้งสุดท้ายที่ขอมีโมเมนต์มุ้งมิ้งผีผ้าห่ม (?) ก็โดนต่อยเข้ากลางแสกหน้า เจ็บระบมไปเป็นเดือน

อาโอมิเนะถึงกับยกมือลูบดั้งจมูกอย่างไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงเรื่องวันนั้น…

นอกจากยัยนั่นจะไม่ทำตัวเป็นแฟนสาวแสนดีรีบหาน้ำแข็งมาประคบให้เขา กลับรับโทรศัพท์จากน้องชายสุดที่รักแล้วหายหัวไปอีกสามอาทิตย์เต็ม ๆ …ทำเอาอาโอมิเนะริจะนอกใจไปหานางแบบสาวอกโตที่มาหว่านเสน่ห์ใส่ และสุดท้ายก็ดันซวยสุดชีวิตเมื่อทัตสึยะกลับมาที่ห้องตอนหิ้วหล่อนมานอนด้วยพอดี

…สาวทรงโตได้รับการไว้ชีวิต ส่วนเขาน่ะเรอะ? หึ—

ขอไม่เล่า แต่เอาเป็นว่า ‘เดี้ยง’ จนแม้แต่คุณหมอมิโดริมะยังไม่อยากจะยุ่งละกัน

อาโอมิเนะได้แต่นอนมองฮิมุโระที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโต๊ะปลายเตียงมาพักใหญ่ ใช่ว่าหลังจากขอมีอะไรด้วยวันนั้นแล้วเจ็บตัวไปตามระเบียบ เขาจะยอมแพ้ซะเมื่อไหร่…จากนั้นมาก็ยังคงขอเรื่อย ๆ เป็นระยะ (เช่นวันนี้) เคยกระทั่งจะจับปล้ำแต่ก็เจอเข่าสวย ๆ อัดเข้าเต็มเป้าจนต้องลงไปนอนจุก

หลัง ๆ มานี่ฮิมุโระใจอ่อนลงเยอะก็จริง ยอมให้จับมือถือแขนได้ ให้โอบไหล่โอบเอวได้บ้าง และถ้าอารมณ์ดีก็จะให้ซุกนม (?) บ้างนาน ๆ ครั้ง แต่เรื่องอย่างว่า…ไม่สิ แค่จะนอนกอดก็มีโอกาสน้อยนิดแล้ว

ทัตสึยะไม่เคยยอมมาค้างที่ห้องเขา แค่แวะมาช่วงกลางวัน มาคอยทำอาหาร เก็บกวาดห้อง ซักผ้าให้ นั่งเล่นนั่งดูทีวีด้วย ผลาญค่าไฟเล่น แล้วตอนเย็นหลังจากดูแลให้เขากินข้าวกินปลา อาบน้ำไม่ให้เน่าแล้วก็จะกลับไปทำงานบาร์เทนเดอร์ตอนกลางคืนแล้วกลับไปพักที่ห้องของน้องชายเพราะเธอไม่มีที่พักส่วนตัวในโตเกียว

โคตรเกลียดเล้ย…งานบาร์เทนเดอร์อะไรนั่น ทำเอาไม่มีเวลาได้นอนด้วยกัน…เอ่อ ถึงที่จริง ยังไงฮิมุโระก็ไม่ยอมมานอนกับเขาอยู่ดีก็เถอะ (ส่วนหนึ่งเพราะไอ้เจ้าน้องชายตัวดีของเธอที่กีดกันเขาชิบหายนั่นล่ะ)

“ไดกิ…ไปซื้อของเป็นเพื่อนหน่อยสิ?” จู่ ๆ ฮิมุโระก็ปิดหนังสือแล้วโพล่งขึ้นมา ทำเอาอาโอมิเนะที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นรำลึกความหลังถึงกับสะดุ้ง

“อะไร ซื้ออะไรของเธอ? ถ้าไม่ใช่บราฉันไม่ไปนะ…”

“หยุดลามกสักนาทีจะตายไหมฮะ…” ฮิมุโระหรี่ตามองก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้มาลากขาเขาลงจากเตียง ทำให้นายตำรวจหนุ่มถึงกับต้องร้องโวยวายลั่น

“ถ้าไปด้วยแล้วเธอจะยอมให้ฉันเอามั้ยเล่า!?”

“ไม่ได้เกี่ยวกันเลยนะ…ไปแต่งตัวได้แล้ว!” เอ่ยพร้อมกับกระชากคนตัวสูงกว่าอย่างแรงจนหนุ่มผิวเข้มปลิวลงมานอนกองกับพื้น ก่อนที่เสื้อผ้าจะถูกโยนมาให้ ซึ่งอาโอมิเนะก็ได้แต่ส่งเสียงชิเบา ๆ แล้วยอมลุกขึ้นแต่งตัว

ทำไมเขาไม่เลิกกับทัตสึยะไปกันนะ…โหด มือหนัก ไม่เชื่อง แถมไม่เห็นจะมีตรงไหนที่น่ารัก มีดีแค่เซ็กซี่กับหน้าอกใหญ่—

เออ นั่นสิ ทำไมไม่เลิกวะ…

อาโอมิเนะได้แต่ถามตัวเองขณะมองร่างบอบบางที่เดินไปหยิบเสื้อนอกมาสวมทับชุดที่ใส่อยู่ตอนนี้ ดวงตาสีน้ำเงินไล่มองตั้งแต่เส้นผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลัง ไล่ลงไปถึงรูปร่างที่ได้สัดส่วนใต้เสื้อยืดสีเข้มและขาเรียวขาวใต้กระโปรงสั้น

แค่เพราะสวย…ก็ไม่มั้ง?

ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัวแล้วเดินไปสวมกอดเธอเอาไว้แน่น ทำให้ฮิมุโระร้องออกมาเบา ๆ ด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรหรือถองศอกใส่เหมือนเมื่อก่อน

ช่างมันเหอะ…เหตุผลที่ไม่เลิกน่ะ

“ซื้อเยอะไปแล้วนะ โฮ่ย!” อาโอมิเนะบ่นเป็นหมีกินผึ้งเมื่อต้องมาเดินตามแฟนสาวซื้อข้าวของ มือก็หอบถุงพะรุงพะรัง คิดแล้วพาลนึกถึงสมัยโดนยัยซัทสึกิลากไปซื้อของไม่มีผิด

“บ่นจังเลยนะนายเนี่ย หัดอดทนแบบไทกะซะบ้างสิ”

“อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับน้องชายแสนดีสุดที่รักของเธอเลยน่า เปล่าประโยชน์…” ร่างสูงหัวเราะร่าอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวจนถูกฮิมุโระชกใส่สีข้างเข้าให้

“เงียบปากแล้วช่วยฉันหาร้านนี้เถอะน่า!” มือเล็กยื่นกระดาษรายการที่จดไว้ให้แฟนหนุ่มดู ซึ่งอาโอมิเนะก็แค่ชะโงกมองอย่างเกียจคร้านแล้วบุ้ยใบ้ไป

“ใช่ร้านนั้นรึเปล่า?”

“โอ๊ะ จริงด้วย รอนี่นะ” ฮิมุโระบอกแล้ววิ่งตรงไปที่ร้านที่ว่าทันที อาโอมิเนะถอนหายใจยาว ขี้คร้านจะตามไปเพราะอยากจะนั่งพักบ้างเหมือนกัน ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนม้านั่ง เปิดถุงดูข้าวของที่แฟนของเขาซื้อมาด้วยความสงสัยปนแปลกใจ

โอเค…ถุงส่วนใหญ่มีเสื้อผ้า ธรรมดา ให้ผ่าน…แล้วก็มีวัตถุดิบ อุปกรณ์ทำอาหาร ยังถือว่าปกติ ผ่านแล้วกัน แล้วอะไรคือ…มีมีด ที่ตัดซิการ์ ไฟแช็ก ถุงมือยาง เสื้อโค้ทกันฝน ผ้าปิดปาก แว่นตาดำ กับหมวกแก๊ปด้วยวะ? แป๊บนะ แฟนเขาจะไปฆ่าใครรึเปล่าฟะเนี่ย

อะไรไม่รู้…แต่จู่ ๆ อาโอมิเนะก็นึกเสียวแว้บที่ตรงน้องชายหัวแก้วหัวแหวน

คงไม่ใช่ยัยโหดจับได้ว่าเขาเต๊าะตำรวจสาวสุดเซ็กซี่ที่สน. อยู่นะเว้ย…

คราวก่อนแค่ช้ำ คราวนี้มีขาด…ขาดแน่ ๆ

ไดกิน้อยของพ่อ…

“โทษทีที่ให้รอ— เอ๋? ทำไมหน้าซีดแบบนั้นล่ะ? เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงหวานคุ้นหูดังขึ้นทำให้อาโอมิเนะต้องเงยหน้ามองแฟนสาวที่กลับมายืนตรงหน้าเมื่อไหร่ไม่รู้

“ปะ…เปล่า” พร้อมกับตอบเสียงตะกุกตะกักอีกต่างหาก เฮ้ย! ก็คนมันกลัว…

“แน่เหรอ?” ฮิมุโระหรี่ตาน้อย ๆ แล้วโน้มตัวลงมาแนบหน้าผากมนกับหน้าผากของแฟนหนุ่ม จนอาโอมิเนะถึงกับเบิกตา…ร้อยวันพันปีไม่เคยทำแบบนี้เลยนี่หว่า

หรือว่า…สายพันธุกรรมเขาถึงฆาตแล้วจริง ๆ!?

“ก็ตัวไม่ร้อนนี่นา…อ๊ะ จริงสิ ฉันเจอร้านเบอร์เกอร์เปิดใหม่กำลังลดราคาด้วยนะ ไปกันไหม?”

“หา…?”

“อะไร…ก็บอกว่ามีร้านเปิดใหม่กำลังลดราคาไง เหม่ออะไรของนาย ลุกได้แล้ว” ไม่พูดเปล่า มือเล็ก ๆ ก็เอื้อมมาดึงแขนเขาให้ลุก ทำให้อาโอมิเนะต้องหันไปหยิบถุงที่กองอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาแล้วเดินตามไป

“ซื้ออะไรมาอีกล่ะนั่น?”

“หืม? โซ่น่ะ…”

โซ่…

…โซ่นี่รัดคอตายได้ใช่ไหม?

คนมีชนักติดหลังถึงกับยกมือลูบคอตัวเอง

“ไดกิ จะกินอะไร?” รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในร้านเบอร์เกอร์ซะแล้ว ทัตสึยะสั่งอาหารตัวเองเรียบร้อยและกำลังยืนรอคำตอบจากเขาอยู่

“กินเธอ…”

“หายหัวไปซะ”

น่าสงสารพนักงานที่ทำหน้าไปไม่ถูก แต่ก็ยังรีบตั้งสติรับออร์เดอร์เบอร์เกอร์เทริยากิไปได้ หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อย รออาหารจัดใส่ถาดแล้ว ทัตสึยะก็เดินนำเขาไปที่โต๊ะ เมื่อจัดแจงที่นั่งเรียบร้อย ทั้งสองต่างก็หยิบเบอร์เกอร์ของตัวเองมาแกะกิน

“ทัตสึยะ…ถามจริงนะเว้ย ซื้อมีด ที่ตัดซิการ์ กับไฟแช็กแล้วก็โซ่มาทำไม?” และในที่สุดอาโอมิเนะก็มีโอกาสได้ถาม

“เอามาตัดไอ้จ้อนนาย”

…เป็นครั้งแรกที่นายตำรวจหนุ่มผิวเข้มถึงกับสะอึกหน้าถอดสีรีบหนีบขาตัวเองแน่น

“อ๊ะ เลอะแน่ะ” เสียงหวานร้องเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบทิชชู่มาเช็ดซอสเทริยากิบนแก้มของเขา อาโอมิเนะรีบตะครุบมือบางข้างนั้นไว้ทันที

“ทัตสึยะ…นี่จริงจังนะ ถ้าจะตัดของฉันจริง ๆ อย่างน้อยก็ขออึ๊บสักครั้งนะเว้ย…”

“หา…”

“แกจะทำบัดซบอะไรกับพี่สาวฉันวะหา? ไอ้โง่มิเนะ” เสียงเหี้ยมเกรียมดังขึ้นพร้อมกับรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านมาจากด้านหลังทำให้อาโอมิเนะสะดุ้ง

“พูดจาลามกน่าเกลียดมากครับ อาโอมิเนะคุง…”

“นายน่ะเงียบไปเลยเท็ตสึ! ไอ้บ้ากามิก็ด้วย อย่ามายืนแผ่รังสีบ้าแถวนี้นะเว้ย! โอ๊ย! เจ็บนะทัตสึยะ!” หันไปร้องใส่แฟนสาวที่ทำหน้าถมึงทึงขยี้ส้นสูงลงบนหัวแม่โป้งเท้าเขาอย่างไม่มีปรานี

“อย่ามาว่าไทกะกับคุโรโกะคุง” แล้วหันไปยิ้มใสให้คนมาใหม่ “ไงจ๊ะทั้งสองคน มานั่งด้วยกันสิ”

“ไม่เอา!—”

“(โอ๊ส!) รบกวนด้วยนะ (ครับ)” ยังค้านไม่จบดี เจ้าสองแสบก็หย่อนตัวลงนั่งซะแล้ว โดยคากามินั่งลงคุมข้าง ๆ เขา มอบที่ว่างฝั่งทัตสึยะให้แก่คุโรโกะ

“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ฮิมุโระซัง…ยังไม่ฆ่าอาโอมิเนะคุงอีกเหรอครับ?” เปิดปากก็หมาออก ไอ้บ้าเท็ตสึ ฝากไว้ก่อนเถอะแก

“อื้มม…กำลังคิดน่ะว่าจะฆ่าแบบไหน อำพรางคดียังไงดี” นี่มานั่งวางแผนฆาตกรรมต่อหน้าตำรวจเลยนะเฮ้ย!

“ไฟเผาก็ดีนะ ทัตสึยะ” ไอ้คุณนักดับเพลิง ตายห่าไปครับ…

พอมาอยู่กลางบรรยากาศแบบนี้ ก็ชวนให้นึกถึงเรื่องสมัยยังจีบทัตสึยะใหม่ ๆ …

ตอนนั้นทัตสึยะมีคากามิเป็นปราการเหล็ก จะเข้าหาทีก็แสนยากเย็น โทรหา…เจอคากามิเป็นคนรับ จะไปแอบดักเจอ คากามิก็รู้ทันและพาทัตสึยะไปที่อื่น เห็นว่ายอมลดราวาศอกก็เมื่อทัตสึยะเริ่มใจอ่อน แต่กระนั้น เจ้าตัวก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทัตสึยะยังไม่เสียตัวให้เขาจนทุกวันนี้…

ส่วนทางเขาเหรอ…หึ

มีเจ้าบ้าเท็ตสึคอยจิกกัดทุกนาทีไงล่ะ

ดูดิ…ว่าเพื่อนมันรักไดกิขนาดไหน

“เฮ้ย! แล้วนี่เมื่อไหร่แกจะปล่อยมือทัตสึยะวะ!” คากามิหันมาตวาดพลางจัดการแกะมือของเขาที่จับมือหญิงสาวไว้ แต่ยิ่งแกะอาโอมิเนะก็ยิ่งจับแน่นพลางยิ้มกวนตีนเหมือนจะยั่วยุ คุโรโกะนั่งดูดวานิลลาเชคมองจนหันไปคุยกับฮิมุโระที่ดูจะชินชากับเรื่องแบบนี้ไปแล้วแม้จะโดนจับมือไว้แน่น

“ทัตสึยะ! กินหมดแล้วใช่ไหม? กลับได้แล้ว!” หลังจากทะเลาะกันกับคุณว่าที่น้องเขยอยู่พักใหญ่ อาโอมิเนะก็วางแก้วน้ำอัดลม กระชับมือของแฟนสาวดึงให้ลุกขึ้น ฮิมุโระขมวดคิ้วร้องเบา ๆ ด้วยความไม่ตั้งตัวแต่ก็หันไปลาคุโรโกะกับคากามิแล้วหยิบถุงข้าวของมาถือไว้ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มไปอย่างว่าง่าย ถึงจะต้องกลับไปค้างกับไทกะ แต่ว่าหญิงสาวก็ยังรู้ว่าต้องตามไปดูแลคนผิวเข้มให้เข้านอนเรียบร้อยก่อน

“เมื่อไหร่จะยอมย้ายมาอยู่กับฉันสักทีล่ะ?” เสียงทุ้มถามขึ้นระหว่างเดินกลับห้องพัก ฮิมุโระเงยหน้ามอง

“ไม่เอาด้วยหรอก…อยากอยู่กับไทกะมากกว่า”

“ไหงถึงอยากอยู่กับน้องชายมากกว่าแฟนฟะ!?”

“ก็รักน้องมากกว่านี่…”

“เดี๋ยวเถอะ…”

“ก็เหมือนที่ไดกิรักไมจังมากกว่าฉันไม่ใช่เหรอ” …เออ ทำไมเถียงไม่ออกวะอันนี้

ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางแสงไฟริมถนนที่เริ่มเปิดติดขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อฟ้ามืดลง อาโอมิเนะเงยหน้ามองดาว เผลอนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาอีกครั้ง…นี่รำลึกความหลังบ่อย ๆ แบบนี้แปลว่าเขาเริ่มแก่แล้วปะวะ เออ แต่ช่างเหอะ ยังไงทัตสึยะก็แก่กว่า

มือเล็กบางของทัตสึยะขยับประสานมือเขาไว้ เรียวนิ้วเล็กสอดแนบกับนิ้วใหญ่หยาบกร้าน แต่กระนั้นก็ให้สัมผัสที่อบอุ่นที่สุด

“ทัตสึยะ ฉันน่ะ—”

“หืม?” ฮิมุโระเงยหน้ามองคนที่เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไปเสียเฉย ๆ อาโอมิเนะเม้มปากพลางเกาหัวน้อย ๆ แล้วหันไปอีกทาง

“เปล่า…”

“อะไรของนาย…”

ทำไมกันนะ…แค่จะพูดว่า ‘รักเธอ’ ยังยากเย็นขนาดนี้ แบบนี้เรียกว่าความรักจริง ๆ งั้นหรือ ถ้าหากไม่ใช่แล้วเหตุผลที่เขาไม่เลิกกับทัตสึยะคืออะไรกันแน่นะ

ไดกิ…แกนี่มันบ้าจริง ๆ เลย

“ไดกิ…” เสียงหวานที่ดังเรียกจากข้างตัวทำให้ชายหนุ่มหันกลับไปมอง ทัตสึยะกำลังมองหน้าเขาอยู่ ใบหน้าได้รูปใต้แสงไฟสลัวแบบนั้น…มันสวยจริง ๆ ด้วย

“ว่าไง?”

“อยากจะ— อ๊ะ!!”

เสียงนั้นขาดหายไปเพราะแรงที่ปะทะเข้ากับร่างเล็กอย่างแรงจนเซ ถุงที่ถืออยู่หล่นกระจัดกระจาย โชคดีที่อาโอมิเนะจับมือรั้งตัวเธอไว้จึงไม่ล้มลงไปกับพื้น

“ทัตสึยะ! เจ็บตรงไหนรึเปล่า!?” เสียงทุ้มร้อนรนเอ่ยถามหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขน

“ไม่…เอ๊ะ! กระเป๋าฉัน!?” ฮิมุโระร้องขึ้น ทำให้อาโอมิเนะเงยหน้ามองทางด้านหน้าทันที สิ่งที่เขาเห็นคือแผ่นหลังไว ๆ ที่วิ่งหายไปในตรอกมืด

“ทัตสึยะรอนี่ เดี๋ยวฉันมา!” เอ่ยพร้อมกับดันแฟนสาวให้ถอยไป ก่อนที่สองเท้าจะออกวิ่งตามเจ้าโจรวิ่งราวนั่นไปทันที

เพราะความที่เป็นตำรวจ การไล่ตามคนร้ายผ่านเส้นทางวิบากจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับอาโอมิเนะ แม้ว่าจะอยู่ในความมืดก็ตามที ดวงตาสีน้ำเงินจับจ้องภาพร่างผอมที่วิ่งลัดเลาะไปตามตรอก ก่อนจะกระโดดข้ามรั้วไป แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อชายหนุ่มเลยแม้แต่นิด

“จับได้สักทีนะแก!” ในที่สุดมือใหญ่ก็คว้าคอเจ้านั่นเอาไว้ได้ มันดิ้นพราดร้องโวยวายขณะที่เขาฉวยกระเป๋าสะพายของทัตสึยะคืนมา

เอาล่ะ…ทีนี้ก็ถึงเวลากลับไปหาทัตสึยะ—

อาโอมิเนะโยนเจ้าตัวปัญหาลงไปกับพื้นก่อนจะหันหลังกลับ ทว่าทันใดนั้น เงาสูงใหญ่ที่ฉายทอดจากด้านหลัง บดบังแสงไฟนีออนด้านบนไว้ก็ทำให้ชายหนุ่มชะงัก

“ในที่สุดก็ได้เจอกันอีกครั้งนะ…ได— ไม่สิ ผู้หมวดอาโอมิเนะ”

ร่างสูงกัดริมฝีปากก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงที่เขาคุ้นเคยดี

“ไง…ออกจากคุกเร็วดีนี่พวกแก” เอ่ยกับฝูงชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่เมื่อหลายปีก่อนเขาเป็นคนจับพวกมันโยนเข้าตะรางด้วยข้อหาครอบครองและจำหน่ายยาเสพติด อาโอมิเนะจำพวกมันได้ดี เพราะต้องเข้าไปแฝงตัวในแก๊งค์นานถึงแปดเดือนกว่าจะจับกุมได้เบ็ดเสร็จ

“เหอะ…แกคิดว่าคุกกระจอก ๆ พรรค์อย่างนั้นจะขังพวกฉันไว้ได้นานนักรึไงเจ้าหนู?” ชายร่างใหญ่ที่มีรอยบากขนาดใหญ่บนใบหน้าเอ่ยพลางแสยะยิ้ม คนอื่น ๆ เริ่มกระชับวงล้อมต้อนอาโอมิเนะให้ถอยไปติดมุมตึก ชายหนุ่มเหลือบมองโจรวิ่งราวร่างผอมที่ไปหลบอยู่ด้านหลังพวกยากูซ่าเป็นที่เรียบร้อย

ที่แท้พวกมันล่อเขามาติดกับงั้นเหรอ…

“งั้นคอยดูเถอะ…คราวนี้ฉันจะโยนพวกแกเข้าไปอีก ดูซิว่าจะออกมาได้อีกไหม?” นายตำรวจหนุ่มกระตุกยิ้ม กระชับกระเป๋าของทัตสึยะให้ลงมือได้ถนัดขึ้น

พวกมันมีกันกว่ายี่สิบคน มีทั้งไม้ มีทั้งท่อเหล็ก เป็นไปได้ว่ามีมีดด้วย…ในขณะที่เขาไม่มีอาวุธสักชิ้น—

เดี๋ยวนะ? เหมือนทัตสึยะจะมี…

เครื่องช็อตไฟฟ้า!? แม่เจ้า…!

มือใหญ่ที่ควานลงไปในกระเป๋าของแฟนสาวโดยที่ไม่ได้ละสายตาจากพวกแก๊งค์ตรงหน้าเลยแม้แต่วินาทีเดียวคว้าเครื่องช็อตไฟฟ้าออกมาได้ก็จัดการกดเปิดที่แรงไฟสูงสุดแล้วพุ่งเข้าใส่ร่างผอมที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที

อาโอมิเนะล้มคนแรกได้ด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้าอย่างง่ายดาย ก่อนจะศอกใส่คนที่พุ่งมาจากด้านหลังจนเซถอยหลังไปตามมาด้วยซัดลูกถีบกลับหลังใส่พวกที่จะรุมเข้ามาอีก ชายหนุ่มขยับตัวตั้งหลักพลางมองคนที่ยืนล้อมอยู่รอบ ๆ ด้วยความระมัดระวัง

พวกมันมีจำนวนมากเกินไป…จะล้มทั้งหมดนี่ได้ไง

ร่างสูงกัดฟันกรอด เขามีแค่เครื่องช็อตไฟฟ้าที่ไม่รู้ว่าจะแบตหมดเมื่อไหร่อยู่กับตัวเพียงเครื่องเดียว

แต่ว่า…ทัตสึยะรออยู่ ยังไงซะก็ต้องรีบกลับไป

ถ้าหากหันหลังให้ไม่ได้…ก็จะต้องเอาชนะพวกมันทั้งหมดนี่ เพื่อที่จะกลับไปหาคนที่เขารัก—

“อะไรวะเนี่ย!?” เสียงร้องดังขึ้นจากฝั่งด้านหลังของพวกยากูซ่าทำให้ทุกคนแม้แต่อาโอมิเนะยังต้องหันไปมอง ยังคงมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังอย่างต่อเนื่องสลับกับเสียงของหนักกระทบร่างกายคน

“ผู้หญิง!?”

อะไรนะ…!? อย่าบอกนะว่า…!!

“ไดกิ!!”

ร่างสูงใหญ่ตรงหน้าล้มโครมลงพร้อมกับเสียงคุ้นเคยที่ตะโกนเรียกชื่อของเขา อาโอมิเนะเบิกดวงตาสีน้ำเงินกว้างเมื่อเห็นร่างบอบบางที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ทัตสึยะ…”

ทัตสึยะยืนหอบหายใจ เส้นผมสีดำยาวสลวยยุ่งเหยิงไปนิด ๆ มือเรียวเล็กกำหมัดที่มีรอยเลือดหยดซึม ร่างกายเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ รอบ ๆ ตัวคือชายฉกรรจ์นับสิบที่ยืนตกตะลึงกับการมาถึงอย่างไม่คาดคิดของเธอ

อาโอมิเนะยังไม่ทันจะพูดอะไร ฮิมุโระก็ก้าวเข้ามาตรงที่เขายืนอยู่ก่อนจะสวมกอดไว้แน่น ทำให้ชายหนุ่มรวมไปถึงคนรอบ ๆ ถึงกับชะงัก

เป็นครั้งแรกเลย…ที่ทัตสึยะกอดเขาก่อน

“พะ…พวกแกมัวทำอะไรอยู่ จัดการมันสิวะ!” ชายที่เป็นหัวหน้าแก๊งค์ตวาดอย่างนึกขึ้นได้ ทำให้สมาชิกคนอื่น ๆ ได้สติพุ่งตรงเข้ามาหาพวกเขาทันที

อาโอมิเนะกัดฟันแล้วกอดกระชับร่างของฮิมุโระแน่นขึ้น ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะปกป้องเธอเอาไว้

“ไดกิ…” เสียงเรียกจากในอ้อมกอดทำให้ชายหนุ่มต้องก้มลงมอง “…เชื่อมือฉันเถอะ”

“หา—”

ยังไม่ทันขาดคำ ฮิมุโระก็ผละจากอ้อมกอดของเขา หันไปเหวี่ยงหมัดเข้าใส่กรามของผู้ชายตัวใหญ่ที่พุ่งเข้ามาหา เพียงหมัดเดียวเท่านั้น ก็ทำเอาเจ้านั่นปลิวกระเด็นไปกองอีกด้าน

หญิงสาวเช็ดเหงื่อบนใบหน้าแล้วย่างสามขุมเข้าไปหาพวกยากูซ่าที่ค่อย ๆ กระเถิบถอย

วินาทีนั้น…อาโอมิเนะก็รู้ตัวถึงบางสิ่ง

ฮิมุโระ ทัตสึยะ แฟนสาวของเขา ไม่ใช่สาวน้อยอ่อนแอน่ารักน่าปกป้อง แต่ตรงข้าม กลับเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งและเข้มแข็งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา ทัตสึยะไม่ใช่คนที่จะยืนรอเขาอยู่ข้างหลัง

แต่จะเป็นคนที่ก้าวไปด้วยกัน…

ชายหนุ่มยิ้มบางออกมาแล้วก้าวไปเคียงข้างเธอ

คืนนี้ยังอีกยาวไกล…และคงต้องเหนื่อยกันอีกมากเลยล่ะ

“โอ๊ยยย! เจ็บ ๆ เบามือหน่อยเซ่ทัตสึยะ!”

“เป็นตำรวจซะเปล่า แค่ทำแผลแค่นี้ก็อดทนหน่อยสิ เจ้าบ้า” ฮิมุโระเขกหัวแฟนหนุ่มเบา ๆ แล้วใช้สำลีแต้มยาใส่แผลตามใบหน้าของเขา อาโอมิเนะนั่งหน้ามุ่ย แต่ก็ได้แต่ยอมโดยดี

แม้ว่าทั้งคู่จะร่วมมือกันจะเอาชนะพวกแก๊งค์ได้ แต่ก็บาดเจ็บกันมาไม่น้อย ฮิมุโระมีแผลถลอกบ้างเพราะถูกผลักชนล้ม ส่วนอาโอมิเนะแย่กว่า (อาจจะเพราะเป็นผู้ชาย) ใบหน้าเต็มไปด้วยแผลถูกชก แถมยังโดนมีดเฉียด ๆ มาที่สีข้างอีก ดีที่แฟนสาวมาช่วยทัน…แต่ก็ทำเอาศักดิ์ศรีลูกผู้ชายป่นปี้หมด!!

“ดึกขนาดนี้แล้ว…เจ้าบ้ากามิมันไม่เป็นห่วงแย่เหรอ?” อาโอมิเนะเอ่ยถามพลางมองทัตสึยะที่กำลังเก็บอุปกรณ์ทำแผล

“ฉันโทรบอกไทกะไปแล้ว…” ร่างเล็กบางเอ่ยก่อนจะหันมาทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียง “ไดกิ…คืนนี้ฉันจะค้างกับนาย แต่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่—”

เอ่ยได้เท่านั้นก็ถูกรวบเอวล้มลงไปบนเตียงพร้อมกับเจ้าของอ้อมกอด อาโอมิเนะกระชับร่างหอมกรุ่นไว้แน่นพลางซุกลงกับเส้นผมสีดำนิ่ม

“โคตรดีใจเลยว่ะ…ทัตสึยะ”

ฮิมุโระมองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายตอนเอ่ยประโยคนั้นออกมา แต่สัมผัสได้ว่าน้ำเสียงที่เปล่งมันสั่นเทา หญิงสาวได้แต่ยิ้มแล้วสวมกอดร่างสูงตอบแน่น ๆ

“อืม…”

“วางใจเหอะ…คืนนี้ฉันไม่ทำอะไรเธอ” ชายหนุ่มผิวเข้มเอ่ยออกมาเบา ๆ ขณะยังซุกหน้าอยู่กับเส้นผมหอม ๆ ของแฟนสาว ฮิมุโระผงกหัวน้อย ๆ รับรู้

“แต่วันต่อ ๆ ไปไม่แน่…”

“ว่าไงนะ—” หญิงสาวที่เงยหน้าขึ้นมาโวยคำพูดของคนลามกถึงกับชะงักเมื่อเห็นสิ่งที่มือใหญ่ยื่นมาตรงหน้า

…แหวน?

“ไดกิ…นี่มันหมายความว่าไง?”

“ก็ต้องหมายความว่า ‘แต่งงานกันนะ’ ไม่ใช่รึไง? งี่เง่า—” ลากเสียงยาวแถมท้ายอีกต่างหาก

“แต่ว่า…ฉันเนี่ยนะ? เป็นฉันจะดีเหรอ?”

“ไม่เป็นเธอแล้วจะให้เป็นไมจังรึไง? ยัยบ้า แล้วนี่เป็นอะไร ตกลงสิฟะ ตกลง…”

“อย่ามาบังคับกันเซ่! ตะ…ตกลง”

“เด็กดี…”

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่อาโอมิเนะเผลอยิ้มออกมาจากใจขณะลูบหัวคนในอ้อมกอดที่ปิดหน้าแดงเรื่อมุดเข้ามาซุกอยู่กับอกหลังจากเขาสวมแหวนให้ที่นิ้วนางข้างซ้าย

ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองมาหลายต่อหลายครั้ง ว่าทำไมเขาถึงไม่เลิกกับทัตสึยะที่ไม่เคยทำตัวเป็นแฟนสาวในอุดมคติเลย แต่กระนั้น ก็ไม่เคยได้คำตอบออกมาชัดเจนเสียที

แต่ว่า…ช่างมันเถอะ เหตุผลที่ไม่เลิกน่ะ

ตอนนี้มีเหตุผลเพียงอย่างเดียวที่เขาและทัตสึยะเองก็คงจะรู้ดี

‘เหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงรักกัน’

 

 

OMAKE #1

 

“ทัตสึยะ…จะถามอีกรอบนะ”

 

“ว่าไง?” ฮิมุโระที่กำลังทำมื้อเย็นขานรับเสียงของแฟนหนุ่มที่ยืนกอดเอวเธอจากด้านหลัง ขณะมือก็ผัดข้าวผัดในกระทะไปด้วยอย่างคล่องแคล่ว

 

“ตกลงว่า…ซื้อมีด ที่ตัดซิการ์ กับพวกไฟแช็กแล้วก็โซ่มาทำไม? ที่บอกว่าจะมาตัดไอ้หนูฉันน่ะล้อเล่นใช่ไหม?”

 

“หืม? ก็ล้อเล่นน่ะสิ ไทกะฝากซื้อน่ะ…ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเอาไปทำอะไร”

 

ได้ยินแบบนั้น อาโอมิเนะก็ถึงกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน…พี่สาวไม่ได้ทำ แต่น้องชายวางแผนไว้งั้นสินะเฮ้ย!

 

 

OMAKE #2 (สำหรับคนที่เอะใจว่ามุคคุงหายไปไหน / Warning : MuraMuro)

 

“อย่างนั้นเหรอ…จะแต่งงานกับมิเนะจินงั้นสิน้า? ถ้ามิเนะจินรอดจากคากามิได้ล่ะก็นะ~ หืมม? พูดเรื่องอะไรน่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกน่า ฉันน่ะสบายดี…ทัตสึจินนั่นล่ะ ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ อื้ม ไว้เจอกันที่งานแต่งนะ บ๊ายบาย”

 

“ทัตสึยะโทรมางั้นเหรอ?”

 

มุราซากิบาระวางมือถือลงบนโต๊ะหัวเตียงแล้วพลิกตัวกลับมากอดเอวร่างที่เพิ่งกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับดึงให้ลงมานอนข้าง ๆ ซึ่งฝ่ายหลังก็ตกใจนิดหน่อยแต่ก็หัวเราะแล้วลงนอนด้วยแต่โดยดี

 

“เป็นยังไงบ้างล่ะ?”

 

“ก็ดูเหมือนจะสบายดี แต่ว่ากำลังจะแต่งงานกับมิเนะจินน่ะน้า—” มุราซากิบาระลากเสียงบอกพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกจนร่างทั้งสองแนบสนิทกัน ปลายจมูกโด่งก้มลงซุกกับเส้นผมสีดำหอม ๆ

 

“เห…อาโอมิเนะคุงคนนั้นเนี่ยนะ?”

 

“อื้มม…จะว่าไปนะ เมื่อไหร่คนนี้จะแต่งงานกับฉันสักทีล่ะ?”

 

“รอไปเถอะ” คนในอ้อมกอดหัวเราะคิก ทำให้มุราซากิบาระต้องมุ่ยหน้าแล้วขยี้ ๆ เส้นผมของแฟนสุดที่รักไปมา

 

“อยากแต่งงานบ้าง…อยากแต่งงานอ่ะ!”

 

“ฮะ ๆ ไม่งอแงนะ”

 

ฮิมุโระ ทัตสึยะ หัวเราะเบา ๆ พลางลูบหัวแฟนเด็กตัวโตอย่างเอ็นดู อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงหญิงสาวที่เป็น ‘ดอปเปลแกงเกอร์’ ของเขา ไม่ใช่แค่หน้าตาที่เหมือน แต่ชื่อและนามสกุลก็ยังมาบังเอิญเหมือนกันอีกแม้จะไม่ได้เป็นฝาแฝดกัน

 

สิ่งที่แตกต่างคือเพศ…เขาเป็นผู้ชาย ส่วนเธอคนนั้นเป็นผู้หญิง

 

อดคิดไม่ได้ว่ามันก็ตลกดีเหมือนกัน เพราะทั้งชีวิตไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอคนที่ราวกับเป็นคนคนเดียวกันทั้งหน้าตาและนิสัยขนาดนี้

 

แต่จะอย่างไรเสีย เขาก็คือเขา ส่วนเธอคนนั้นก็คือเธอ

 

ถึงจะเหมือนกันยังไง สุดท้ายก็หัวใจก็เป็นคนละดวง เขาและเธอต่างตกหลุมรักคนคนละคน ตกลงปลงใจที่จะอยู่กับคนคนละคน และมีความสุขอยู่กับคนที่ตัวเองรัก

 

ฮิมุโระอดนึกถึงฮิมุโระอีกคนไม่ได้…

 

ไม่ว่าเธอจะเลือกทางใด เขาจะภาวนาให้เธอมีความสุขที่สุด

 

 

อุดมไปด้วยฉากทำร้ายร่างกาย และการลวนลา— อุ๊ย มือลื่น…555
โดยปกติแล้วอวยม่วงน้ำแข็งและฟ้าเห็ดค่ะ (ออลมุโระโอเค)
แต่ฟิคนี้เกิดจากการคุยและโรลเล่นฟ้าน้ำแข็งกับเพื่อน แล้วรู้สึกว่าน่าสนุกดีจนฟิคงอกเฉยเลย… (รู้สึกว่าแอบเป็น AU หน่อย ๆ…)
Fiction

Kuroko no Basuke : Oh! My sweet honey (NijiMuro)

Title: Oh! My sweet honey

Pairing: Nijimura Shuzou x Himuro Tatsuya

Rate: PG-15 (?)

Fandom: Kuroko no Baske

Notes : เรื่องเกิดหลังจากใน Replace V ประมาณครึ่งปี นิจิมุระเริ่มใช้ภาษาอังกฤษคล่องแล้ว จินตนาการว่าบทสนทนาทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษนะคะ ยกเว้นเวลาคุยกันสองคน

 

ไวโอเล็ตต้า : บังเกิดจากความฟินรุ้งน้ำแข็งอย่างนึกไม่ถึง ฮา ขอบคุณน้องคุโรชิผู้น่ารักที่คิดพล็อตให้และมาช่วยแต่งค่ะ 5555555

 

คุโรชิ : พี่ชูขนหน้าอก—— #มาเกรียนแล้วจากไป(…) 555555555 อ๊ะ!  (แว๊บมาอีกที) หวังว่าจะได้รับความสนุกสุดเกรียนและความใสใส(?)จากฟิคชั่นที่คลอดออกมาด้วยความติ่งนะก๊ะ x7

 

– – – – – –

 

นิจิมุระ ชูโซ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเรื่องมันดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้ยังไง…

 

ใต้ร่างของเขา คือร่างเปลือยเปล่าขาวสะอาดของเพื่อนสนิทคนสว– อุ ไม่สิ หล่อแล้วกัน …ฮิมุโระ ทัตสึยะ

 

ดวงตาสีเทาของนิจิมุระกวาดมองทั่วร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเพื่อน ที่จากนี้อาจจะไม่ใช่แค่เพื่อนอีกต่อไป ผิวของทัตสึยะขาวมากเป็นทุนเดิม พอถูกกระทำเช่นนี้ เลยทำให้สีแดงเรื่อเด่นชัดตามร่างกายและใบหน้าสวย ๆ

 

บ้าเอ๊ย! สติจะแตก…

 

เสียงครางของทัตสึยะหวานอย่างกับอะไรดี เล่นงี้ใครจะไปหยุดตัวเองอยู่กันฟะ! ทัตสึยะเองก็ตั้งสติหน่อยสิเฮ้ย! …อดีตกัปตันทีมบาสเกตบอลโรงเรียนเทย์โคตะโกนลั่นในใจ

 

…แต่ก็ใช่ว่าอยากหยุ—

 

อา โว้ยย เรื่องแบบนั้นช่างมันก่อนเถอะ!

 

ตกลงว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงเล่า…อ๊ะ! หรือจะเป็นตอนนั้น…ตอนนั้นสินะ…!!

 

 

“นี่ ๆ สเป็คของชูกับทัตสึยะเป็นแบบไหนเหรอ?”

 

พรวดดดด!!

 

คำถามที่ดังขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของไมค์ทำเอานิจิมุระแทบสำลักน้ำอัดลมที่ดื่มอยู่ ฮิมุโระดูใจเย็นกว่ามากขณะที่หัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปตอบไมค์ที่นั่งอยู่ด้านข้าง

 

“ฉันชอบคนแข็งแกร่งนะ?”

 

“เห? จริงน่ะ? แบบอเล็กซ์น่ะเหรอฮะ?”

 

“แบบอเล็กซ์คงไม่เชิง”

 

“ดะ ดะ เดี๋ยวสิทัตสึยะ นั่นมันใช่ประเด็นเรอะ! นายควรถามก่อนสิว่าทำไมไมค์ถึงนึกครึ้มอยากจะถามเรื่องนี้ขึ้นมา!” นิจิมุระร้องแย้งเมื่อดูเหมือนทั้งสองคนจะเริ่มคุยเพลินไปแล้ว

 

“ฮะ ๆ ไม่เห็นจะแปลกเลย ไมค์ก็แค่สงสัย ไม่ก็อาจจะใกล้โตเป็นหนุ่มแล้ว” ฮิมุโระหัวเราะพลางขยี้ผมสีส้มของไมค์เบา ๆ

 

“แค่อยากรู้เองนะฮะ! แล้วสเป็คชูล่ะ?” ไมค์ทำตาเป็นประกายเหมือนรอคำตอบ

 

“ไม่บอกหรอกน่า!”

 

“แล้วกัน ฉันก็อยากรู้นะ”

 

“ทัตสึยะน่ะกินผักดองไปเลย!”

 

นิจิมุระถอนหายใจเฮือกพลางหยิบเบอร์เกอร์มางับกินต่อด้วยสีหน้ายุ่ง ๆ ขณะที่ฮิมุโระกับไมค์หันไปหัวเราะกัน

 

“เอ้า ๆ หัวเราะกันเข้าไปนะ” นิจิมุระเบ้ปากเมื่อเห็นทั้งสองคนนั้นหัวเราะ

 

…สเป็คงั้นหรอ… อืม.. ยังไงดีนะ ไม่เคยคิดถึงเรื่องสเป็คซะด้วยสิ เพราะยังมีน้องชายและน้องสาว แถมพ่อที่ป่วยอยู่ให้ดูแลทั้งคนนะ เอ๊ะ! แต่ว่า… “เป็นทัตสึยะก็ไม่เลวนะ”

 

……….

 

………………….

 

……………………………

 

“ชู…เมื่อกี้พูดว่ายังไงนะ?” ทั้งฮิมุโระ ทั้งไมค์ ต่างก็หันหน้าไปทางเจ้าของเสียงเมื่อครู่

 

“หา? จะอะไรซะอีกล่ะ สเป็คไง—- เฮ้ย!!”

 

ตาย ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไอ้ชูโซ เมื่อกี้แกตอบว่ายังไงนะ ‘เป็นทัตสึยะก็ไม่เลวนะ’ งั้นเหรอ! แกนี่บ้าไปแล้วเหรอฟะ ชูโซวววว ว้อยยยยย!…นิจิมุระด่าตัวเองในใจอย่างคนเสียสติ

 

“อะ…เอ่อ…คือ เมื่อกี้ ฉันเปล่าพูดอะไร…” นิจิมุระแก้ตัวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักแล้วเสมองไปทางอื่น

 

“ชูน่าสงสัย!” เสียงไมค์ที่พูดแทรกขึ้น

 

“หา? น่าสงสัยอะไร ฉันเปล่านะ!”

 

แล้วคนที่ถูกเอ่ยชื่อเมื่อตอนต้นจากปากของนิจิมุระที่เงียบไปนาน ก็ได้ออกปากขึ้น “…….เจ้าบ้าชู!”

 

“อะไรเล่า! ไม่มีอะไรสักหน่อย ละ…แล้วนั่นหน้าแดงเรอะ?”

 

“ใครหน้าแดงกัน…!!” ฮิมุโระว๊ากใส่ก่อนจะคว้าเบอร์เกอร์ปาใส่คนที่ทำตัวเองเกือบหัวใจวายซะด้วยความหมั่นไส้

 

“ฮะ…เฮ้ย! อย่าเอาของกินมาปาเล่นแบบนี้สิ!” นิจิมุระรับเบอร์เกอร์มาโดนปาใส่อย่างเฉียดฉิว

 

“นายนั่นล่ะ…เล่นอะไรของนายกัน” …จู่ ๆ ก็ดันพูดแบบนั้นออกมา ถึงฮิมุโระจะถูกสาว ๆ ที่โรงเรียนสารภาพรักอยู่บ่อย ๆ ก็เถอะ แต่ไอ้เรื่องว่าสเป็คของชู ‘เป็นทัตสึยะก็ไม่เลวนะ’ นั่นน่ะ…@@#$@$@!@ อะไรกันเนี่ย!

 

ไมค์มองทั้งสองคนว๊ากใส่(?) กันไปมา ก่อนจะห้ามทั้งสองให้หยุดศึกปาเบอร์เกอร์

 

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ชูเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นสักหน่อย ..เนอะ ชู?” ไมค์พยายามพูดปลอบใจฮิมุโระแล้วหันไปหานิจิมุระ

 

“หา? ฉันตั้งใจพูดต่างหากล่ะ”

 

……….

 

………………….

 

……………………………

 

เกิดความเงียบอีกครั้ง ไมค์ทำท่ากุมขมับหนักใจกับพี่ชายคนนี้ซะเหลือเกิน…

 

“อย่ามาแกล้งอะไรแบบนี้นะ ชู…” ฮิมุโระกะพริบตาปริบ ๆ มองนิจิมุระก่อนจะหรี่ตาลงนิดหน่อย

 

นิจิมุระเห็นบรรยากาศท่าทางของฮิมุโระที่ดูเปลี่ยนไป เริ่มอึกอักก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา ๆ

 

“ขอโทษนะ.. ทัตสึยะ ฉันไม่ได้แกล้ง… แต่…..” นิจิมุระหลุบตาลงนิดๆ “แต่…. ฉันพูดจากใจจริง ๆ”

 

“พรืด…” เสียงหัวเราะที่หลุดออกมาเบา ๆ ทำเอาทั้งไมค์ทั้งนิจิมุระหันไปมอง ฮิมุโระกำลังหัวเราะ? ไหงงั้นฟะ!?

 

“เอาจริงเหรอเนี่ยชู…นายเนี่ย” เจ้าตัวดูท่าทางพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่พลางใช้นิ้วปาดน้ำตาที่ซึมนิด ๆ “ฉันเนี่ยนะ? จะดีเหรอ? ฮะ ๆ”

 

“อะไรเล่า…” นิจิมุระเบ้ปาก “กว่าฉันจะพูดออกมาได้ ใช้เวลามาหลายเดือนเลยนะ… แต่นายกลับหัวเราะออกมาแบบนี้ ใจร้ายจริง ๆ” นิจิมุระพูดน้ำเสียงงอน ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหัวเราะพรืดออกมา

 

“อะฮะ ๆ! เรื่องล้อเล่นใช่ไหมล่ะ? ยังไงซะสเป็คนายคงไม่มีทางเป็นแบบฉัน ว่างั้นไหมไมค์?” ฮิมุโระหันไปถามความเห็นจากเด็กน้อยคนเดียวในโต๊ะ ซึ่งไมค์ก็เงยหน้ามองเขาตาปริบ ๆ ก่อนจะหันไปทำตาปริบ ๆ ใส่นิจิมุระอีกที

 

“ไม่…รู้สิฮะ” เด็กชายเอ่ยพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ชูดูจะ…จริงจัง?”

 

ยังไม่ทันที่นิจิมุระจะพูดอะไรออกมา ฮิมุโระก็ชะงักแล้วหันไปรับโทรศัพท์ แล้วรีบหันมาขอตัวพร้อมบอกว่าไม่ต้องรอ ก่อนจะลุกพรวดออกไปทันที

 

“ชู…มีอะไรจะพูดมั้ยฮะ?” ไมค์มองตามไปแล้วหันกลับมาถามคนที่เหมือนจะเอาหน้าแนบโต๊ะอยู่แล้ว

 

“ต้องมีอยู่แล้วสิ! ฉันเขินจนพูดไม่ถูกแล้วนะ…” นิจิมุระหันไปทางไมค์

 

“แล้วชูชอบทัตสึยะเมื่อไหร่เหรอฮะ ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย?” ไมค์ถามเสียงใสอย่างเด็กอยากรู้อยากเห็น

 

“อืม.. อาจจะฟังดูตลกนะ จริง ๆ แล้ว ฉันชอบทัตสึยะตั้งแต่วันแรกที่เจอ…”

 

“ห๊าา? จริงเหรอฮะ ทำไมล่ะ ๆ บอกผมหน่อยนะฮะ”

 

“แน่ะ.. อยากรู้ไปจีบสาวรึไงหืม?” นิจิมุระพูดแซวก่อนจะผละหน้าออกโต๊ะ

 

“เปล่าสักหน่อยฮะ ผมแค่อยากรู้นี่ว่าชอบพี่ทัตสึยะได้ยังไง แต่ผมว่าผมก็เข้าใจชูนะ…”

 

“อ่า.. ที่ฉันชอบก็เพราะว่า เมื่อตอนนั้นที่ทัตสึยะเข้ามาช่วยฉันน่ะ… ฉันอึ้งมากเลยนะ ที่ทัตสึยะซัดพวกนั้นล้มได้ ทั้งที่ขนาดตัวก็ต่างกันขนาดนั้น ทัตสึยะดูเท่สุด ๆ ไปเลย”

 

นิจิมุระเล่าทวนเหตุการณ์เมื่อตอนมาแอลเอวันแรก ซึ่งเด็กน้อยที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยก็พยักหน้าหงึก ๆ

 

“เพราะแบบนั้น ฉันถึงชอบทัตสึยะยังไงล่ะ… อยากจะปกป้องทัตสึยะ ทั้งที่ทัตสึยะอาจจะเก่งกว่าฉัน…” นิจิมุระยิ้มบางให้กับไมค์ “ถึงฉันจะไม่รู้ก็เถอะนะว่า ทัตสึยะจะคิดแบบเดียวกับฉันไหม…”

 

“ผมว่าต้องคิดแบบเดียวกันแน่ฮะ เชื่อผมสิ!” ไมค์ตอบออกไปด้วยสายตาที่จริงจังและเห็นด้วยว่าฮิมุโระต้องคิดเหมือนกับนิจิมุระ

 

“ฮะ ๆ นายนี่ไม่ค่อยเลยนะไมค์! แล้วว่าไง? เสร็จจากนี่จะกลับบ้านเลยไหม เดี๋ยวฉันไปส่ง ทัตสึยะคงไม่น่าจะกลับมาเร็ว ๆ นี้หรอก” เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปยีหัวไมค์เบา ๆ พลางหันมองไปทางประตูที่ฮิมุโระเพิ่งจะออกไปได้ไม่นาน

 

ไมค์พยักหน้าหงึกหงักก่อนจะก้มลงหยิบลูกบาสที่วางไว้ข้างโต๊ะขึ้นมาแล้วหยิบน้ำอัดลมมาดูดอีกซู้ดใหญ่เป็นรอบสุดท้ายจนหมดแก้ว

 

“ตะกละ!”

 

“เสียดายของฮะ!”

 

ทั้งคู่ต่างหัวเราะให้กันก่อนที่ไมค์จะหย่อนตัวลงจากเก้าอี้พลางหันไปจับมือนิจิมุระไว้แล้วเดินตามออกไป

 

“ตอนนี้ทัตสึยะอาจจะคิดว่าชูแค่ล้อเล่นจริง ๆ ก็ได้…แล้วจะทำไงต่อเหรอฮะ?”

 

“อ่า… นั่นสินะ แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็ต้องทำให้ทัตสึยะใจตรงกันกับฉันให้ได้!” นิจิมุระยิ้มกว้างให้เด็กน้อยผมสีส้มที่ยิ้มตอบ

 

“ผมจะคอยเชียร์ให้ชูได้สมหวังนะฮะ มีผมเชียร์อยู่ทั้งคน ทัตสึยะต้องใจอ่อนแน่ ๆ”

 

“ฮะ ๆ ร้ายนะเรา ไว้ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ จะพามาเลี้ยงเบอร์เกอร์ละกันนะ!”

 

“โห!! จริงเหรอฮะ แบบนี้ชูต้องคอยเลี้ยงเบอร์เกอร์ผมซะแล้วล่ะฮะ ฮ่า ๆๆ”

 

ทั้งคู่สนทนากันไปตลอดเส้นทางจนถึงบ้านของไมค์ เจ้าตัวเล็กก็โบกมือลานิจิมุระแล้ววิ่งเข้าบ้านไป ซึ่งหลังจากมองส่งจนเรียบร้อยดีแล้ว เด็กหนุ่มก็บิดขี้เกียจคลายความเมื่อยล้า

 

อืม…จากนี้จะยังไงต่อดีล่ะ?

 

ปกติหลังจากส่งไมค์เสร็จก็จะไปเล่นบาสกับทัตสึยะต่อ ไม่ก็ไปหาร้านเกมเล่นกัน แต่ตอนนี้เจ้าคู่หูดันไม่อยู่ซะด้วย..เฮ้อ ปลงซะแล้วกลับบ้านเถอะชูโซ

 

เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวยืดก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินกลับบ้านที่พักอยู่ เขามาอยู่ลอสแอนเจลิสหลายเดือนแล้ว ภาษาก็พูดได้คล่องพอควรแล้ว เพื่อนก็มีเยอะแยะแล้ว (เป็นเด็ก ๆ จากชมรมของอเล็กซ์หรือไม่ก็พวกเพื่อน ๆ ที่สตรีทบาสของทัตสึยะ) พ่อก็ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ชีวิตก็ดี๊ดี…

 

—ดีกับหอกอะไรเล่า!

 

บ้าเอ๊ยย! แกคิดบ้าอะไรของแกถึงได้ไปแอบชอบเพื่อนสนิทที่สุดในแอลเอได้ฟะ…บางทีนิจิมุระก็นึกอยากเอาหัวโขกแป้นบาสสักเปรี้ยง ดูซิว่าจะทำให้เลิกชอบทัตสึยะได้ไหม– อ๊ะ แต่ก็เคยโขกไปแล้วนี่หว่า เจ้าบ้าไมค์ดันพุ่งเข้าชาร์จตอนเพิ่งลงจากเลย์อัพ…

 

เด็กหนุ่มเกาหัวแกรก ๆ คิดหนักว่าจะเอายังไงต่อไปดี…ถ้าทัตสึยะยังไม่รู้อะไรเหมือนที่เคยมันก็คงจะดี– ล่ะมั้ง? แต่ตอนนี้หมอนั่นก็รู้แล้ว แถมยังคิดว่าเรื่องล้อเล่นเอาอีก

 

ทัตสึยะบ้าชะมัด…

 

แต่คนที่บ้ากว่ามันก็เราเองนี่หว่า… ว้อย! จะทำยังไงดีเนี่ย ชูโซ…. เอายังไงดี..

 

ยังไงดี….

 

ไงดี….

 

ก็เอามันทั้งแบบนี้ล่ะเว้ย! กำลังใจจากไมค์ก็พุ่งเต็มร้อย (เพราะมีเบอร์เกอร์เป็นสินบน) ยังไงก็ต้องคุยกับทัตสึยะเรื่องนี้ให้รู้เรื่องอีกทีล่ะนะ! เอาเว้ย ถ้าดีก็ดี ถ้าแห้วก็……..ค่อยคิดตอนนั้น

 

“ห๊ะ? อ้าว…นี่มาถึงหน้าบ้านเมื่อไหร่ฟะ”

 

นิจิมุระยืนเอ๋อหน้าบ้านของตนแล้วคิดกับตัวเองในใจว่า นี่เพ้อบ้าบอจนมาถึงบ้านแบบไม่รู้ตัวเลยเรอะ!?

 

“อ๊ะ! พี่ชูโซ กลับมาแล้วเหรอคะ?”

 

เสียงใสดังขึ้นพร้อมร่างเล็ก ๆ ของน้องสาวที่วิ่งเข้ามากอดนิจิมุระพร้อมกับรอยยิ้มสดใส

 

“โอ้ กลับมาแล้ว แล้วนี่เราทานอะไรรึยังน่ะ?”

 

“อื้อ! หนูทานกับพี่จ๋าแล้วก็ปะป๊าแล้วค่ะ พี่ชูโชทานมาแล้วสินะคะ เอ๊ะ? แล้ววันนี้พี่ทัตสึยะไม่ได้มาด้วยเหรอคะ?”

 

“ฮะ ๆ พอดีหมอนั่นดูเหมือนจะมีธุระน่ะ พี่เลยกลับมาคนเดียว เอ้า เข้าบ้านได้แล้ว คุยกันนอกบ้านแบบนี้ระวังจะเป็นหวัดเอานะ” นิจิมุระพร้อมกับอุ้มน้องสาวแท้ ๆ ของตนเข้าบ้าน

 

“กลับมาแล้ว”

 

“อ๊ะ! พี่ชู กลับมาแล้วเหรอครับ” น้องชายวิ่งเข้ามาหาก่อนจะทำหน้าบูดพองแก้ม “โหย พี่ชูอ่ะ อุ้มแต่น้องอ่ะ ไม่อุ้มผมบ้างเลย บู่…”

 

“หา นี่อิจฉาน้องสาวตัวเองเรอะ ฮะ ๆ” นิจิมุระยิ้มขำกับน้องชายอีกคน “มา ๆ อุ้มพร้อมกับทั้งคู่นี่แหละ” พูดจบนิจิมุระก็อุ้มน้องชายขึ้นมาอีกคนแล้วพาเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น

 

“เดี๋ยวพี่ขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อน มีอะไรก็เรียกล่ะ ห้ามทะเลาะกันเด็ดขาดนะ!” นิจิมุระมองน้องชายและน้องสาวทั้งสองคนรอคำตอบ

 

“ครับ! / ค่ะ!” ทั้งสองตอบเสียงใส นิจิมุระพยักหน้ายิ้มตอบ เด็กทั้งสองเป็นเด็กดีตั้งใจเรียน ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะชกต่อยกับใคร ไม่เหมือน….. เอ่อ คนพี่อย่างเรา? แต่ก็ไม่ได้เป็นอันธพาลชกต่อยไปทั่วแบบนั้นสักหน่อย

 

นิจิมุระขึ้นมาถึงบนห้องแล้วนอนแผ่ลงที่เตียงของตน พลางหยิบมือถือออกมามองอย่างลังเล แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจพิมพ์ข้อความส่งหาทัตสึยะ

 

‘รีบไปไหนของนาย เป็นไงบ้างแล้วน่ะ?’

 

โธ่เอ๊ย…พอกดส่งไปแล้วก็เพิ่งจะมาสำนึก ทัตสึยะไม่ใช่เด็ก ๆ ให้ต้องคอยเป็นห่วงเป็นใยทุกฝีก้าวแล้วสักหน่อย! เดี๋ยวเจ้าตัวกลับมาก็โดนด่าอีกจนได้ว่าส่งอะไรมาไร้สาระ

 

แต่คนมันอดห่วงไม่ได้นี่หว่า…นิจิมุระเบ้ปากใส่มือถือก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคง

 

วันนี้คงไม่ได้เจอทัตสึยะแล้วมั้ง…พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน!

 

-พี่ชูจ๋าา ข้อความใหม่มาแล้วจ้า~-

 

พรืดดด เด็กหนุ่มสะดุ้งกับเสียงข้อความของตนที่น้องสาวเป็นคนอัดเสียงให้ “ไม่ชินกับเสียงข้อความสักที…”

 

เขารีบหยิบมือถือที่มีข้อความเข้ามาใหม่ ปกตินิจิมุระเป็นคนชอบเช็คข้อความอยู่แล้ว แบบว่าว่าง ๆ ก็เอามาเปิดดูเล่น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นข้อความโฆษณา ‘สุดสยิวกิ้ว สาวสวยเอ็กซ์ในชุดชั้นในสุดเร่าร้อน’ แบบนี้เสียมากกว่า…

 

เด็กหนุ่มเปิดข้อความแล้วถึงกับแสดงสีหน้าที่ต่างจากเมื่อครู่ลิบ เรียวคิ้วขมวดลงอย่างเคร่งเครียด

 

‘ชู.. ช่วยฉันด้วย’

 

เล่นบ้าอะไรเนี่ย! แล้วนายอยู่ไหนเล่า!

 

ไวยิ่งกว่าความคิด ร่างสูงโปร่งของนิจิมุระโผพรวดลงจากเตียง คว้าเสื้อนอกมาสวมแล้ววิ่งลงจากห้องนอน เสียงตึงตังจนน้องชายน้องสาวชะโงกหน้าออกมามอง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมากไปกว่าการรีบต่อสายหาทัตสึยะขณะวิ่งออกจากบ้านไป

 

“รับเซ่…รับเซ่!”

 

“ชู…”

 

“ทัตสึยะ นายอยู่ไหน!” นิจิมุระตวาดถามทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสาย เออ! ไอ้อีกคนมันจะว่าเขาอารมณ์ร้อนหรือกำลังเดือดอะไรอยู่ก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะมาเย็นอยู่ได้จริง ๆ

 

“อยู่ที่ตรอกถัดจากโกดังร้าง…ฮะ ๆ โทษทีนะ สร้างปัญหาให้จนได้”

 

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย! หุบปากแล้วรออยู่เฉย ๆ จะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!” นิจิมุระเอ่ยเสียงเด็ดขาดเหมือนเวลาใช้ออกคำสั่งกับพวกสมาชิกในทีม มือหนากดตัดสาย เก็บมือถือใส่กระเป๋าเพื่อให้วิ่งได้คล่องตัวขึ้น

 

นิจิมุระรีบวิ่งสุดกำลัง โชคดีที่เขาเป็นนักกีฬาบาส เขาจึงต้องวิ่งออกกำลังกายทุกเช้า เมื่อตอนอยู่ชมรม… ร่างโปร่งวิ่งมาเรื่อยจนถึงซอยที่มีโกดังร้างตามที่ปลายสายบอกมา เล่นเอาหอบแฮ่กเพราะวิ่งแบบไม่คิดชีวิต ห่วงแค่ว่าขอให้อีกฝ่ายปลอดภัย

 

“ทัตสึยะ! อยู่ที่ไหน! ถ้าอยู่แถว ๆ นี้ ตอบฉันด้วย!” นิจิมุระตะโกนเสียงดัง เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขามาถึงแล้ว เขาเดินไปทั่วบริเวณ พลางกวาดสายตามองหาโดยรอบ

 

“ชู…”

 

ตอนนั้นเองที่หูไว ๆ ของเด็กหนุ่มได้ยินเสียงแผ่วพร่าโรยแรงดังแว่วมา เสียงที่เขาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของทัตสึยะ ขายาวรีบขยับก้าวแล้ววิ่งตรงไปยังต้นเสียงทันที

 

“ทัตสึยะ! อยู่ตรงไหน ส่งเสียงอีกทีซิ!”

 

“อยู่นี่…” นิจิมุระหันไปมองก่อนจะเห็นเหมือนบางส่วนของร่างกายมนุษย์ที่โผล่พ้นถังน้ำมันเหล็กเก่า ๆ ที่ตั้งเรียงกันอยู่ออกมา เด็กหนุ่มรีบสาวเท้าเข้าไปดูก่อนจะเบิกตากว้าง

 

“ทัตสึยะ!” ร่างสูงโปร่งแทบจะถลาเข้าไปหาเมื่อเห็นสภาพของทัตสึยะที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงข้างโกดัง ท่ามกลางลังของเก่า ๆ และถังน้ำมันที่ช่วยซ่อนตัวเขาได้มิด ใบหน้าสวย ๆ เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เสื้อผ้าก็เลอะเทอะเปรอะเปื้อน แถมยังมีรอยเลือดจาง ๆ เต็มไปหมด คนตรงหน้าหัวเราะเบา ๆ เหมือนสมเพชตัวเองอยู่ในที

 

“ฉันให้พวกจอห์นพามาทิ้งไว้นี่ จะได้หนีไปง่าย ๆ”

 

นิจิมุระได้ฟังก็เงียบไป ไม่มีการตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้น

 

“ชู…?”

 

“ใครทำ”

 

“เอ๊ะ?”

 

“ฉันถามนายว่า ใครทำ”

 

…ทัตสึยะมองคนตรงหน้า เขาคือนิจิมุระ ชูโซ คนที่เป็นเพื่อนสนิทในตอนนี้ กับคำพูดที่ดูจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างไป เขาในตอนนี้ทั้งเท่ และดูพึ่งพาได้ คำพูดที่แฝงไปด้วยความหนักแน่น ต่างจาก ‘ชู’ คนปกติที่เขารู้จัก…

 

“…เจ้าพวกที่ชอบเล่นการพนัน ที่ชูเคยเจอพวกนั้นวันแรกที่ชูมา…”

 

“ตอนนี้พวกมันอยู่ไหน”

 

“ฉันไม่รู้…พวกเราปะทะกับพวกมันที่มาเอาคืนเรื่องที่โกดัง ฉันเสียท่าโดนช็อตไฟฟ้าแล้วก็โดนรุมจนพวกจอห์นต้องช่วยออกมา แต่พวกมันก็ไล่ตามมาด้วย…เพราะงั้นฉันเลยขอให้จอห์นทิ้งฉันไว้ บางทีเจ้านั่นอาจจะล่อพวกมันไปอีกทาง” ฮิมุโระบอกพลางสำลักหน่อย ๆ เพราะยังเจ็บตรงช่วงท้องที่โดนต่อยเตะมา

 

“ฉันเข้าใจแล้ว… นายเองก็ไม่ต้องพูดแล้วนะ ‘ทุกอย่าง’ ฉันจะจัดการเอง” นิจิมุระพูดพลางยิ้มให้กับคนตรงหน้าแล้วใช้มือลูบศีรษะร่างที่กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าตนอย่างเบามือ

 

“อือ.. ขอโทษชูด้วยนะ ที่ต้องมาเจอฉันในสภาพที่แย่แบบนี้ ฮะ ๆ”

 

“ฉันบอกว่าไม่ต้องพูดแล้วไง… แล้วไม่ต้องมาขอโทษฉันด้วย”

 

ฮิมุโระยอมทำตามที่นิจิมุระบอก แล้วเขาก็ค่อย ๆ หลับตาลงเพราะหมดแรงพร้อมกับความเพลีย

 

นิจิมุระทอดสายตามองใบหน้าสวยที่หลับตาลงพริ้มก่อนจะขยับตัวช้า ๆ และระมัดระวังมากที่สุด ร่างสูงประคองฮิมุโระเอาไว้ไม่ให้ล้มแล้วจึงประคองให้มาซบตรงหลังเพื่อแบกขึ้นให้ถนัด ยังไงซะตอนนี้พวกบ้านั่นจะอยู่ไหนก็ช่าง เรื่องสำคัญคือทัตสึยะต้องทำแผลก่อน

 

จะพากลับไปที่บ้านดีไหม…อาจทำให้พวกน้อง ๆ ตกใจจนขวัญเสีย โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก็ห่างออกไปเกือบกิโล ที่ไหนจะปลอดภัยที่สุดและพอจะใช้ทำแผลได้…

 

อ๊ะ…บ้านของอเล็กซ์อยู่ไม่ไกลจากนี่นี่นา!

 

เอาวะ…รบกวนอเล็กซ์หน่อยอาจจะทำให้ทัตสึยะ (พ่วงตัวเอง) ต้องโดนด่าตามระเบียบ แต่ก็คงดีกว่าฝืนเดินไกล ๆ ไปถึงโรงพยาบาลแล้วกัน

 

นิจิมุระตัดสินใจกับตัวเอง ก่อนจะประคองฮิมุโระที่เหมือนจะหมดสติไปด้วยความเพลียขึ้นหลังให้ถนัดแล้วรีบเดินตรงไปบ้านของอเล็กซ์ทันที

 

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะชู!?”

 

อเล็กซ์ที่เปิดประตูออกมารับร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพของเด็กทั้งสองคน นิจิมุระขยับแขนไม่ให้ฮิมุโระไหลตกลงไปพลางขมวดคิ้ว

 

“ขอยืมอุปกรณ์ทำแผลหน่อย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังไปพลาง ๆ”

 

หญิงสาวผมทองมีท่าทีตกใจปนเป็นห่วงอยู่นิดหน่อยก่อนจะเปิดประตูให้ทั้งคู่เข้ามา แล้วช่วยนิจิมุระประคองฮิมุโระให้ลงจากหลังไปนอนบนโซฟาแล้วรีบเดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลมา

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะชู! อธิบายมาเลยนะ ทัตสึยะไปเล่นซนที่ไหนมาอีก”

 

นิจิมุระทำแผลให้ฮิมุโระที่นอนนิ่งอยู่อย่างเบามือ และอธิบายเรื่องทั้งหมดให้อเล็กซ์ฟัง

 

“อ่า.. วันนี้ฉัน ทัตสึยะ และไมค์ ไปร้านเบอร์เกอร์ตามปกติ แต่แล้วก็มีโทรศัพท์มาหาทัตสึยะ…”

 

“โทรศัพท์?” อเล็กซ์ถามอีกฝ่าย

 

“ใช่ แต่ไม่แน่ใจหรอกว่าใครโทรมาหา แต่คิดว่าน่าจะเป็นจอห์น ทัตสึยะเลยขอตัวออกไป คงจะนัดเจอกัน ส่วนฉันก็พาไมค์กลับบ้าน”

 

“แล้วชูล่ะ? จากนั้นไปไหน?”

 

“…ก็ตรงกลับบ้านเลย เพราะไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อดี พอถึงบ้านก็ส่งข้อความไปหาทัตสึยะ แล้วได้รับข้อความขอความช่วยเหลือ”

 

“นี่มันเกิดเรื่องขึ้นบ้าอะไรเนี่ย!?” อเล็กซ์ขมวดคิ้วแล้วมองร่างที่นอนอยู่โดยมีนิจิมุระทำแผลให้

 

“พอได้รับข้อความ ฉันก็รีบไปหาทัตสึยะ แต่พอเจอตัว.. สภาพก็เป็นแบบนี้แล้ว”

 

“แล้วใครเป็นคนทำกัน?”

 

“เห็นทัตสึยะบอกว่าเป็นพวกพนันที่ชอบไปแถวสตรีทบาสน่ะ ฉันก็เคยเจอหมอนั่นตอนมาที่นี่ครั้งแรก”

 

“…..!” อเล็กซ์ถึงกับหน้าถอดสีเมื่อได้ยินชื่อนั้นจากปากนิจิมุระ

 

หลังจากนิจิมุระเล่าเรื่องทั้งหมดให้อเล็กซ์ฟัง ทั้งคู่ก็คุยว่าหลังจากนี้ควรจะทำยังไงต่อดี จะปล่อยไว้แบบนี้ก็ไม่ได้

 

“แค่ก ๆ ..”

 

“ทัตสึยะ!” ทั้งนิจิมุระ และอเล็กซ์ต่างหันไปมองทางเดียวกับเจ้าของเสียงไอเมื่อครู่

 

“ช.. ช่วย.. ช่วยจอห์นด้วย…”

 

“เมื่อกี้นายพูดว่าไงนะ ทัตสึยะ?” นิจิมุระเอ่ยปากถามซ้ำ

 

“จอห์น.. น่าจะตกอยู่ในอันตราย ตอนที่ช่วยฉันไว้….”

 

“ฉันจะไปเอง!” นิจิมุระพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนก่อนจะโดนมือที่ไร้เรียวแรงจับข้อมือไว้

 

“ฉันเอง.. ก็จะไปด้วย”

 

“นายน่ะ นอนพักไปเลย เจ้าบ้า!”

 

“ฉันก็เห็นด้วยกับชูนะ ทัตสึยะ..” อเล็กซ์ช่วยพูดกล่อม

 

“…..ถ้าจอห์นเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ ฉันคงยกโทษให้ตัวเองไม่ได้..”

 

“…………” นิจิมุระเงียบไปครู่นึงก่อนจะเอ่ยตอบมาด้วยเสียงที่ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก “ก็ได้.. แต่ถ้าฉันเห็นนายดูท่าไม่ดี ฉันจะให้นายกลับเดี๋ยวนั้นเลยนะ!”

 

“ฮะ ๆ ชูนี่ล่ะก็.. เป็นห่วงไม่เข้าเรื่องเลยนะ ฉันแข็งแรงจะตาย”

 

“โฮ่ งั้นเรอะ? แข็งแรงจนอยู่ในสภาพนี่เนี่ยนะ” นิจิมุระพูดพร้อมกับมุ่นคิ้ว

 

“เฮ้อ.. พวกหนุ่ม ๆ ล่ะก็… บทจะฮึดก็ฮึดจนฉันตามไม่ทันเลยนะยะ” อเล็กซ์พูดพลางส่ายหน้า “ไปเถอะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น โทรมาหาฉันได้เสมอนะ.. ชู ฉันฝากทัตสึยะด้วย”

 

“โอ้!”

 

 

“ฉันโทรหาจอห์นไม่ติด”

 

ฮิมุโระที่วิ่งตามนิจิมุระไปทำคิ้วขมวดหลังจากพยายามโทรศัพท์หาเพื่อนมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับสาย

 

“เป็นไงบ้างทัตสึยะ?” นิจิมุระที่กำลังวิ่งอยู่หันไปถามอีกฝ่าย

 

“จอห์นไม่รับสายเลย รู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้” ฮิมุโระตอบไปแบบนั้นแต่ก็พยายามติดต่อจอห์นไปเรื่อย ๆ

 

“ฉันว่าลองกลับไปที่เดิมที่ฉันเจอนายดีกว่านะ”

 

“นายคิดว่าหมอนั่นจะกลับไปตามหาฉันที่นั่นเหรอ?” ฮิมุโระเลิกคิ้วหน่อย ๆ แต่ก็ยอมพยักหน้าแล้วเลี้ยวไปอีกทางที่ไปยังโกดังที่ไปหลบก่อนหน้านี้โดยมีนิจิมุระตามไปติด ๆ

 

“ฉันรู้สึกว่าพวกนั้นมันจะกลับไปที่นั่นน่ะสิ…”

 

เมื่อมาถึงโกดังก็เป็นอย่างที่นิจิมุระคิด มีเจ้าพวกแก๊งค์นั้น และจอห์นอยู่จริง ๆ ด้วย พอพวกนั้นเห็นนิจิมุระและฮิมุโระมา ลูกน้องคนอื่น ๆ ก็เข้ามาปิดทางล้อมทั้งคู่ไว้

 

“โอ้~ ดูท่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาแน่ะครับ ลูกเพ่” ลูกน้องคนนึงกล่าวก่อนจะยิ้มด้วยท่าทางน่าขยะแขยง

 

“จอห์น!!” ฮิมุโระร้องพร้อมกับตั้งท่าจะวิ่งเข้าไป แต่นิจิมุระรีบฉุดแขนของเขาไว้ก่อน

 

“บอกแล้วไงว่าอย่าผลีผลามน่ะ! นายบาดเจ็บ สู้พวกนั้นไม่ไหวหรอก” ร่างโปร่งเอ่ยเชิงดุพลางมองฝ่ายตรงข้ามที่มีท่อเหล็กและอุปกรณ์อีกมากมายเป็นอาวุธ ฮิมุโระได้แต่กัดฟันกรอดเมื่อเห็นพวกจอห์นที่บาดเจ็บอยู่

 

“แล้วจะทำยังไง?”

 

นิจิมุระเงียบไปสักพักพลางใช้ความคิดว่าต่อไปจะทำยังไงต่อดี “..ลองต่อรองพวกมันดูก่อน ฉันจัดการเอง” นิจิมุระกระซิบบอกฮิมุโระแล้วหันหน้าไปหาเจ้าพวกนั้น

 

“ปล่อยจอห์นซะ!”

 

“หาาา เมื่อกี้แกว่าไงนะ เป็นเด็กรึไง คิดว่าฉันจะปล่อยไปง่ายๆหรอ เจ้าเด็กบ้า!” อีกฝ่ายตอบแบบกวน ๆ จนนิจิมุระเริ่มจะทนไม่ไหว เพราะจู่ ๆ ก็นึกถึงไฮซากิที่เคยเป็นเด็กที่อยู่ทีมเดียวกันมาก่อนและเขามักจะหัวเสียเพราะคำพูดคำจาของเจ้าหมอนั่นเป็นประจำ

 

“จิ๊! เจ้าบ้า พูดดี ๆ ไม่รู้เรื่อง ต้องให้ใช้กำลังสินะ!?”

 

ฮิมุโระมองนิจิมุระแล้วคิดในใจ ‘…บอกว่าอย่าให้เราผลีผลาม แต่ดันหัวเสียซะเองเนี่ยนะ …ชูบ้า”

 

เจ้าพวกนักเลงได้แต่หัวเราะก๊ากจนเหมือนจะขาดใจตาย “ฉันว่า จัดการนายคนแรกเลยดีบ้างนะ เจ้าปากเป็ด หึ ๆๆ” ขาดคำ พวกมันก็ตรงเข้ามาล้อมนิจิมุระเอาไว้

 

เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ แต่ละคนมีอาวุธติดมือกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นท่อเหล็ก หรือของอันตรายอื่น ๆ

 

“เฮ้ นี่คิดจะหมาหมู่รึไง.. แต่ก็ช่างเถอะ ใครจะเข้ามาก่อนก็เชิญเลย หึ!” นิจิมุระคลี่ยิ้มมุมปาก

 

แต่ก่อนที่จะสู้กันอย่างดุเดือดนั้น ฮิมุโระก็เข้ามาแทรกกลาง

 

“ใจร้ายจังนะ ชู”

 

“หา อะไรน่ะ ฉันบอกให้นายอยู่เฉย ๆ ไม่ใช่รึไงหืม”

 

“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ถ้าเทียบกับจอห์นในตอนนี้” ฮิมุโระหันไปมองชูด้วยสายตาจริงจัง

 

“ถ้าจะห้ามนายตอนนี้ก็คงเปล่าประโยชน์สินะ… เอาสิ ฝากด้วยล่ะ ทัตสึยะ!”

 

“ได้เสมอแหละชู” ฮิมุโระยิ้มให้นิจิมุระแล้วหันไปมองเจ้าพวกนั้น “ตอนนี้ก็เป็น 5 ต่อ 2 สินะ เข้ามาได้เลย”

 

“มีสองคนแล้วไงวะ ก็แค่ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม…” ไอ้นักเลงขนหน้าอกหัวเราะร่วนก่อนจะยกท่อนเหล็กในมือชี้หน้าฮิมุโระ “ที่แกทำไว้กับฉันคราวก่อน จะเอาคืนเป็นเท่าตัวแน่ไอ้หนู เอาให้หน้าสวย ๆ เสียโฉมเลยเป็นไง– เฮ้ย!”

 

ไม่ทันขาดคำ เท้าของฮิมุโระก็สะบัดเข้าใส่หน้าของมันที่หลบทันแบบเฉียดฉิว

 

“แกว่าใครหน้าสวยวะ…”

 

…คำต้องห้ามไหมล่ะ นิจิมุระได้แต่เหงื่อตกเมื่ออีกฝ่ายดันทำฮิมุโระเดือดก่อนเวลาอันควร ทีแรกเขาตั้งใจจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว แต่ในเมื่อเพื่อนชายหน้าสว– เอ่อ ไม่ใช่ ข้ามไป ๆ …ในเมื่อฮิมุโระสับสวิตช์แล้ว ก็คงมีแต่ต้องลุยลูกเดียวแล้วมั้ง

 

“ว่าแต่….” นิจิมุระมองเจ้าคนที่เกือบโดนฮิมุโระเตะ “นายมัน.. ไอ้ขนหน้าอกเมื่อตอนนั้นนี่หว่า!”

 

พร่วดด— พอนิจิมุระตะโกนแบบนั้นออกไป เหล่าลูกน้องคนอื่น ๆ ก็ติดสตั๊นท์แล้วกลั้นหัวเราะกับคำว่า ‘ขนหน้าอก’ ของนิจิมุระ

 

“….ชู?” ฮิมุโระมองนิจิมุระด้วยสายตาที่บ่งบอกว่า ถ้าจะยังติดใจกับขนหน้าอกไม่เลิกลาขนาดนี้นะ… พลางส่ายหน้าหน่าย ๆ

 

“คราวที่แล้วแกยังไม่เข็ดเรอะ ห๊ะ เจ้าขนหน้าอก ตอนนั้นโดนทัตสึยะจัดการจนน่วมเลยนี่?”

 

คนที่ถูกเรียกว่า ขนหน้าอก หน้าดำหน้าแดง แล้วหันไปมองเหล่าลูกน้องคนอื่น ๆ “หยุดหัวเราะได้แล้วโว้ย! จัดการพวกมัน อย่าให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว!!!”

 

พวกนักเลงตัวเล็กกว่าที่กำลังหัวเราะร่วนสะดุ้งได้สติก่อนจะขยับท่าทางล้อมนิจิมุระและฮิมุโระเอาไว้ แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีท่าทีหวาดกลัว ฮิมุโระค่อนข้างจะเดือดเกินจำเป็นด้วยซ้ำ ขณะที่นิจิมุระกำลังคิดว่าจะถ้าปล่อยทัตสึยะเป็นบ้าแบบนี้ต่อไป ตัวเองจะโดนลูกหลงจากหมัดหนัก ๆ หรือขายาว ๆ นั่นหรือเปล่า…

 

ไม่รอให้นิจิมุระคิดหาวิธีแก้ เจ้าพวกนักเลงก็เริ่มบุกเข้ามา แต่ไม่ทันไร ก็โดนขายาว ๆ ของฮิมุโระนั้นถีบเข้าท้องจนน็อคไปคนนึง

 

นิจิมุระมองอึ้ง ๆ แล้วก็ถึงคิวตัวเองที่ต้องลุยบ้างเมื่อนักเลงพวกนั้นก็บุกมาหาตน นิจิมุระใช้ท่าคาราเต้ทุ่มตัวอีกฝ่ายจนน็อคไปเช่นกัน

 

“เก่งเหมือนกันนี่ ชู” ฮิมุโระให้มายิ้มให้ แต่เป็นรอยยิ้มที่ดู… น่ากลัว คงเป็นเพราะอารมณ์ที่เดือดจัดนั้น

 

“โอ้! นายเองก็เหมือนกัน ดูน่ากลัวกว่าทุกครั้งนะ– เอ่อ.. ฉันหมายถึง ดูเก่ง… เออ ช่างมันเถอะ!” นิจิมุระพยายามระงับคำพูดของตนไม่ให้ไปจุดชนวนให้อีกฝ่ายจนเดือดมากไปอีก

 

“อะไรของชูเนี่ย ฮ่า ๆ”

 

ทั้งสองคน นิจิมุระ และ ฮิมุโระ ได้จัดการเจ้าพวกนักเลงรวมถึงเจ้าขนหน้าอกจนล้มหมอบหมดสติกันไปเป็นที่เรียบร้อย โดยใช้เวลาไม่นานนัก

 

“หา.. อะไรเนี่ย จัดการง่ายกว่าที่คิดรึเปล่า” นิจิมุระเลิกคิ้วพึมพำกับตนเบาๆ

 

“ฮะ ๆ นั่นสินะ อ๊ะ! จริงสิ จอห์น” ฮิมุโระรีบวิ่งไปหาจอห์นที่นอนหมดสติอยู่ “จอห์น เป็นอะไรรึเปล่า ฟื้นสิ!”

 

นิจิมุระเดินเข้ามาดูข้าง ๆ “จอห์นแค่หมดสติไป คิดว่าอีกสักพักก็คงจะฟื้น”

 

“อื้ม ..ค่อยยังชั่ว อุ๊บ!” ฮิมุโระกุมแผลที่ท้องตัวเองแล้วทรุดลงไป

 

“ทัตสึยะ เป็นอะไร!?” นิจิมุระเห็นท่าทางที่ไม่ดีของฮิมุโระ จึงรีบพยุงอีกคน “…ตัวร้อนมากเลยนะนั่น”

 

พอนิจิมุระพูดแบบนั้น ฮิมุโระก็ล้มลงหมดสติไป และนิจิมุระก็โทรเรียกอเล็กซ์ให้มารับ เพราะแค่ตัวคนเดียว นิจิมุระไม่มีทางที่จะแบกทั้งฮิมุโระและจอห์นได้แน่ ๆ …

 

 

“พวกนาย ทัตสึยะตื่นแล้วนะ”

 

อเล็กซ์เดินออกมาจากห้องพยาบาลของสนามที่ใช้เป็นที่ซ้อมของชมรมพลางส่งเสียงบอกพวกนิจิมุระที่นั่งรออยู่ด้านนอก ซึ่งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็พลอยถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะทัตสึยะเป็นคนที่ดูอาการแย่ที่สุด

 

“ทัตสึยะ เป็นไงบ้าง!?” นิจิมุระเห็นว่าอีกฝ่ายฟื้นแล้วเลยรีบเข้าไปหาอย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

 

“อือ..ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ชูเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

 

“เจ้าบ้า! นี่นายยังมีเวลามาห่วงคนอื่นอีกงั้นเหรอ คนที่อาการหนักสุดก็คือนายนะ!” นิจิมุระเผลอพูดเสียงดังใส่ด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ จะวิ่งเข้ามาหา

 

“ทัตสึยะ ฟื้นแล้วเหรอฮะ?” ไมค์วิ่งเข้ามาเกาะข้างเตียงของฮิมุโระด้วยท่าทางร้อนรน ใบหน้าถึงแสดงถึงความกังวลและเป็นห่วง

 

“ไงไมค์…ฉันไม่เป็นไร” ฮิมุโระหัวเราะก่อนที่จะถูกไมค์โผเข้ากอดแน่น ร่างโปร่งยิ้มบางแล้วลูบหัวเด็กน้อยเบา ๆ อย่างอ่อนโยน

 

“โชคดีจังฮะ…ผมตกใจแทบแย่ตอนรู้เรื่อง แต่ทัตสึยะปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะ!” ไมค์เงยหน้าขึ้นยิ้มเผล่ให้ก่อนจะหันไปหานิจิมุระ “ชูอ่ะ! ดูแลทัตสึยะดี ๆ หน่อยสิฮะ!”

 

“ห๊า!? นี่ฉันผิดเรอะ?” เบ้ปาก “คนที่ช่วยทัตสึยะคือฉันนะเฟ้ย!!” นิจิมุระขยี้ผมไมค์จนยุ่งด้วยความหมั่นไส้

 

“ไม่รู้แหละฮะ ชูนั่นแหละผิด!! แบร่!” ไมค์แลบลิ้นให้ชูก่อนที่จะหนีไปอีกฝั่งใกล้ ๆ ฮิมุโระเพื่อที่ใช้เป็นโล่ป้องกันจากมะเหงกของนิจิมุระ

 

“….อย่าทะเลาะกันสิ” ฮิมุโระส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ชูนี่ก็ชอบแกล้งเด็กจังเลยนะ”

 

“เฮ้ย..! นี่รุมกันแกล้งฉันนี่”

 

“ถ้าทัตสึยะไม่เป็นอะไรแล้ว พวกฉันขอไปซ้อมบาสให้พวกเด็ก ๆ ต่อเลยละกัน ชู ฉันฝากดูทัตสึยะด้วยนะ” อเล็กซ์ที่อยู่ด้วยเอ่ยพลางยิ้มให้เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว “ไมค์ก็มาด้วยกันนะ ไปซ้อมบาสกัน”

 

“ฮะ ถึงผมจะอยากอยู่ต่อกับทัตสึยะก็เถอะ..” ไมค์เงยหน้ามองนิจิมุระ “ชูอย่าแกล้งทัตสึยะตอนผมไม่อยู่นะ! ไม่งั้นผมกระโดดเตะชูแน่!”

 

“………………..โหดจริง ๆ นะ” ชูเอ่ย

 

แล้วภายในห้องก็มีแค่ทัตสึยะที่นอนอยู่บนเตียงและนิจิมุระที่นั่งเฝ้า ภายในห้องมีแต่ความเงียบสักพักใหญ่ แล้วบรรยากาศก็ทำให้นิจิมุระรู้สึกประหม่า

 

“..จู่ ๆ ก็รู้สึกเขินแฮะ”

 

“หา ชูเขินอะไร?”

 

“ก็… ไม่รู้สิ ไม่มีเหตุผล”

 

“ชูบ้า” ทัตสึยะยิ้มขำ “ชู ขอบใจที่ช่วยฉันไว้นะ..”

 

“แล้วไหงมาว่าฉันบ้าเล่า เจ้าบ้าทัตสึยะ…” นิจิมุระลูบท้ายทอยพลางเหลือบไปอีกทาง “เรื่องเล็กน้อยแค่นั้นไม่ต้องขอบคุณหรอกน่า นายปลอดภัยแค่นั้นก็พอแล้ว– เอ่อ ต้องเป็น ‘พวกนาย’ สิ”

 

“ทุกคนไม่เป็นไรใช่ไหม…ดีแล้วล่ะ” ฮิมุโระหัวเราะเบา ๆ พลางเขี่ยผ้าห่มเล่นไปมา “แต่ว่า…ฉันรู้สึกจริง ๆ นะชู ว่าเรื่องมันน่าจะยังไม่จบแค่นี้”

 

“หมายความว่าไง?”

 

“ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้…ว่าอะไร ๆ มันก็ดูง่ายผิดปกติ” แววตาของฮิมุโระเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเอ่ยประโยคนั้นออกมา นิจิมุระได้แต่ทอดสายตามองเพื่อนรักเงียบ ๆ

 

เกลียดชะมัด…แววตาแบบนั้นของทัตสึยะ

 

เกลียดชะมัด…ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลแบบนั้นของทัตสึยะ

 

“…ชู”

 

“อ๊ะ…!” เสียงของฮิมุโระปลุกนิจิมุระออกจากภวังค์ เด็กหนุ่มเบิกตาเล็กน้อยเมื่อพบว่าใบหน้าของตัวเองเลื่อนมาใกล้ทัตสึยะตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ ร่างโปร่งรีบผละออกห่างทันที

 

บ้าเอ๊ย…ชูโซ เมื่อกี้แกจะทำอะไรของแก!

 

“เอ่อ..คือ….” นิจิมุระเงียบไปสักพักก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมา “…ฉันสัญญา ว่าฉันจะช่วยนาย…จะช่วยนายให้ถึงที่สุด แม้ว่าจะแลกด้วยร่างกายฉันก็ตาม….ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะนะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร”

 

นิจิมุระพูดพร้อมกับเลื่อนมือไปลูบศีรษะนุ่มของฮิมุโระด้วยความอ่อนโยน “สัญญาเลย ว่าจะไม่ปล่อยให้นายเจ็บตัวแบบนี้อีกแล้ว ฉัน…” ดวงตาคู่คมสบประสานกับอีกฝ่ายด้วยแววที่จริงจัง

 

“..ฉันรักนายนะ ทัตสึยะ”

 

ฮิมุโระเบิกตาเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น ริมฝีปากบาง ๆ เผยอขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะเอ่ยบางอย่าง

 

“ชู…ฉัน—”

 

“ทัตสึยะ แย่แล้ว!!”

 

เสียงท้ายประโยคถูกกลบด้วยเสียงกระแทกประตูเปิดและร่างของเพื่อนคนหนึ่งของเขาที่พรวดพราดเข้ามาก่อนจะร้องบอกด้วยท่าทางร้อนรน

 

“พวกมัน…พวกมันตามมาที่นี่!”

 

นิจิมุระเบิกตากว้าง แต่ก่อนจะทันได้ทำอะไร ร่างที่เมื่อครู่ยังอยู่บนเตียงก็ลุกขึ้นแล้วถลาวิ่งผ่านตัวเขาออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

 

“ทัตสึยะ!!” นิจิมุระตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายก่อนจะวิ่งตามไปแล้วคว้าจับแขนอีกคนไว้ “อย่ารีบร้อนแบบนั้นสิ ทัตสึยะ!”

 

“แต่พวกมัน..!” ฮิมุโระเงยหน้ามองนิจิมุระแล้วชะงักไปช่วยครู่

 

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง เมื่อกี้ฉันก็บอกแล้วใช่ไหม?”

 

“แต่จะให้ฉันนอนเฉย ๆ แล้วให้นายจัดการกับพวกมันคนเดียวได้ยังไงกันล่ะ!?”

 

“ตั้งสติหน่อยทัตสึยะ ตอนนี้ยังไม่มีใครเป็นอะไรทั้งนั้น บุ่มบ่ามทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เดี๋ยวก็ได้เจ็บหนักขึ้นอีกหรอก!”

 

ฮิมุโระเงียบไปก่อนจะมีท่าทีที่ใจเย็นลง “..ขอโทษนะชู ฉันเข้าใจแล้ว แต่… ให้ฉันช่วยชูได้ไหม? ..จะให้ฉันนอนเฉย ๆ ฉันทำไม่ได้หรอก”

 

“อ่า เข้าใจแล้ว แต่สัญญามาก่อนนะ ว่าจะไม่ทำอะไรแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าฉันไม่ได้บอกให้ทำ?”

 

“ตกลง”

 

“ชู! ทัตสึยะ!”

 

เสียงร้องของไมค์ทำให้ทั้งสองรู้สึกตัวก่อนจะรีบวิ่งออกไปตรงสนามที่เด็ก ๆ ใช้ซ้อมทันที และภาพที่ปรากฏต่อหน้าก็ทำให้ฮิมุโระแทบจะขาดสติพุ่งเข้าไปถ้านิจิมุระไม่เอาตัวขวางไว้ก่อน

 

“โฮ่ ออกมาแล้วเหรอ ไอ้หนู…”

 

ชายร่างใหญ่มีรอยสักเต็มตัวที่น่าจะเป็นหัวโจกใหญ่ของไอ้พวกขนหน้าอกโจทก์เก่าของทั้งคู่แสยะยิ้ม ท่อนแขนกำยำด้วยมัดกล้ามล็อคคอไมค์ที่พยายามดิ้นสุดแรง รอบ ๆ มีพวกผู้ชายที่ถืออาวุธทั้งท่อนเหล็ก ท่อนไม้และปืนยืนอยู่ ร่างของอเล็กซ์นอนหมดสติอยู่ไม่ห่าง คงจะพยายามช่วยแล้วเลยโดนลงมือ เด็กคนอื่นถูกคุมไว้มุมหนึ่ง ในขณะที่พวกเพื่อน ๆ ของฮิมุโระเองก็ถูกต้อนไปรวมกันและโดนปืนจ่อขู่อยู่อีกด้าน

 

“ได้ยินมาว่าพวกแกเก่งใช่ย่อยเลยนี่”

 

“ปล่อยไมค์นะ!!” ฮิมุโระคำราม แต่มันกลับยิ่งแสยะยิ้มเหมือนจะพอใจที่เขาทำอะไรไม่ได้ ท่อนแขนใหญ่กระชับล็อคคอไมค์ขึ้นอีกจนเด็กน้อยยิ่งดิ้นพราดอย่างน่าสงสาร พวกเพื่อน ๆ ที่อยู่อีกฝั่งได้แต่กัดฟันมอง ในขณะที่พวกเด็ก ๆ ของชมรมยิ่งร้องไห้ด้วยความกลัว

 

“ชูหลบไป! ฉันจะช่วยไมค์!” ฮิมุโระเอ่ยพลางพยายามดันนิจิมุระหลบ แต่อีกฝ่ายยิ่งขืนตัวไว้

 

นิจิมุระทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นที่ฮิมุโระจะไปช่วยไมค์ เจ้าตัวกลับพูดอีกฝ่ายที่จับตัวไมค์ไว้อย่างใจเย็น “ฉันมีข้อแลกเปลี่ยน สนใจไหม? แน่นอนว่ามันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม” นิจิมุระยิ้มมุมปากให้พวกนั้น

 

“โฮ่ กล้าดีนะ ว่าไงล่ะ ข้อแลกเปลี่ยนของแกที่ว่า”

 

“นายกับฉัน ไม่สิ..พวกนายทั้งหมด มาสู้กับฉันสิ”

 

“อุ๊…วะฮ่าๆๆๆๆ กล้าดีนะเจ้าหนู คิดว่าตัวแกคนเดียวจะทำอะไรพวกข้าทั้งหมดได้”

 

“ชู! คิดบ้าอะไรอยู่น่ะ อย่างชูน่ะ…”

 

“ทำได้สิ” นิจิมุระหันไปมองฮิมุโระที่ทำหน้าแบบไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำได้ “ขอเวลาแป๊บเดียว เดี๋ยวฉันมานะ”

 

ชายร่างยักษ์ได้โยนร่างไมค์ไปให้พรรคพวกที่อยู่อีกทางแล้วเดินมาทางนิจิมุระเหมือนเห็นคนตรงหน้าเป็นอาหารอันโอชะ

 

เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวพลางเงยหน้ามองเงาร่างยักษ์ตรงหน้าก่อนจะเปลี่ยนท่าเป็นท่าตั้งการ์ดแบบคาราเต้วิชาถนัด ฝ่ายตรงข้ามแสยะยิ้มก่อนจะเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ทันที แต่โชคดีที่นิจิมุระเตรียมพร้อมอยู่แล้วเลยก้มตัวหลบทันพลางมุดตัวลอดใต้ช่วงแขนของร่างยักษ์ไปด้านหลังก่อนจะฟาดลูกเตะเข้าที่ขาของมัน

 

หวา! แข็งชะมัด ไม่สะเทือนเลยเว้ย!

 

อดีตกัปตันทีมบาสเทย์โคตะโกนลั่นในใจก่อนจะเอี้ยวตัวหลบหมัดที่เหวี่ยงเข้ามาหาอีกรอบ พลางเหลือบตามองรอบตัวเป็นระยะว่าพวกของมันจะบุกเข้ามาหรือเปล่า ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเพราะพวกนั้นกระชับอาวุธเตรียมพร้อมกันแล้วพุ่งใส่นิจิมุระ แต่เจ้าตัวก็หลบทันแบบฉิวเฉียดก่อนจะใช้ลูกถีบเตะพวกมันจนหมอบ

 

“ขี้โกงใช่เล่นเลยเว้ยเฮ้ย!” นิจิมุระบ่นออกมาเป็นภาษาแม่ตัวเอง

 

อีกฝั่งหนึ่ง ฮิมุโระที่กำลังมองการต่อสู้ของชูอยู่ก็กัดฟันแน่น แต่ก่อนที่จะได้พุ่งเข้าไปช่วยก็กลับรู้สึกได้ถึงเงาของพวกของมันโผล่มาจากด้านหลัง หากแต่ยังไม่ทันตอบโต้ ในหูของเด็กหนุ่มก็ยินเสียงปะทะดังขึ้นพร้อมกับความปวดหนึบที่ตรงต้นคอจนเซถลาล้มลงไปกองกับพื้น

 

ทัตสึยะ…!

 

นิจิมุระที่เหลือบเห็นฮิมุโระถูกฟาดด้วยท่อนไม้หนัก ๆ จนทรุดพอดีได้แต่ร้องเรียกอยู่ในใจพลางยกแขนการ์ดรับท่อเหล็กที่ฟาดลงมา แล้วเอี้ยวตัวส่งลูกเตะกลับหลังเข้าที่ก้านคอของคนที่โจมตีตัวเองเมื่อกี้แล้วก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยพลางหอบหายใจ

 

บ้าเอ๊ย! เจ็บใจนัก ทั้งที่สัญญาไว้แล้วแท้ ๆ ทำไมเราถึงไร้ประโยชน์แบบนี้นะ..!

 

นิจิมุระโทษตัวเองในใจซ้ำ ๆ แล้วความโกรธที่มีอยู่ภายในใจก็ได้ล้นทะลักออกมา เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปจัดการเจ้าร่างยักษ์นั้นอยู่หมัดภายในพริบตาด้วยลูกเตะที่ใส่สุดแรงอย่างไม่รู้ตัวจนร่างยักษ์ล้มฟาดลงไปกับพื้น

 

“อย่าแตะต้องทัตสึยะ!” เด็กหนุ่มตะโกนลั่นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาฮิมุโระที่ล้มอยู่บนพื้นโดยมีพวกนั้นรุมไว้อยู่ แต่ก่อนจะเข้าไปถึงนั้นเอง–

 

“ชู!!”

 

ปัง!

 

นิจิมุระเซถลาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น เด็กหนุ่มกุมต้นขาที่มีเลือดไหลซึมจากการโดนกระสุนปืนถากเข้าไปลึกพอควร ถึงเพื่อนของทัตสึยะจะตะโกนเตือนแต่ก็ช้าเกินกว่าที่เขาจะหลบได้แล้ว ดวงตาสีเทาคู่คมได้แต่เขม้นมองภาพของทัตสึยะที่ถูกกระชากผมให้เงยหน้าขึ้นมาก่อนจะโดนเอาบางอย่างใส่ปากและพวกมันก็กรอกน้ำตามลงไปอีก

 

ยางั้นเหรอ…หรือว่าอะไร!

 

โธ่เว้ย! เจ็บใจนัก ทำไมขาถึงไม่ขยับนะ! ชูโซ ไปช่วยทัตสึยะสิ ไหนสัญญาแล้วว่าจะปกป้องไง!

 

“ทัตสึยะ!!!!!!” นิจิมุระตะโกนเรียกฮิมุโระที่ตอนนี้ไม่มีสติแล้ว

 

ร่างสูงโปร่งลืมความเจ็บลุกขึ้นไปหาเจ้าพวกที่อยู่กับฮิมุโระด้วยท่าทางโกรธจัด ก่อนจะลงมือจัดการเจ้าพวกนั้นอย่างบ้าคลั่งอย่างคนไร้สติที่จะเกินควบคุมได้ …ตอนนี้ไม่มีใครห้ามนิจิมุระได้อีกแล้ว

 

“ชูฮะ!!”

 

เสียงตะโกนของไมค์ดังขึ้น เจ้าของชื่อหันควับไปมองก่อนจะรู้สึกถึงเงาใหญ่ ๆ ที่มาซ้อนอยู่ข้างหลังในระยะประชิด ชายร่างผอมสูงเงื้อไม้ยาวในมือขึ้นหมายจะฟาดลงมา ใกล้เกินกว่าที่นิจิมุระจะหันไปตอบโต้ได้

 

พลั่กกก!!

 

เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาเมื่อไม่รู้สึกถึงความเจ็บอย่างคาด คนที่กำลังจะลงมือกับเขาเมื่อกี้ล้มลงไปกองกับพื้น ตรงหน้าเขามีร่างของอเล็กซ์ที่กำท่อนเหล็กไว้ในมือพลางหอบหายใจถี่ ๆ

 

“อย่ามายุ่งกับนักเรียนของฉันนะ…ไอ้พวกบ้านี่”

 

“อเล็กซ์…” นิจิมุระผ่อนลมหายใจยาว ก่อนจะทำหน้านึกได้รีบวิ่งไปหาฮิมุโระที่นอนหมดสติอยู่ ในขณะที่พวกเพื่อน ๆ นักสตรีทบาสอาศัยจังหวะตั้งแต่ตอนที่เขาถูกยิงลุกขึ้นจัดการกับเจ้าพวกที่เหลือจนหมดแล้ว

 

“ทัตสึยะ!” เด็กหนุ่มร้องเรียกพลางเอื้อมไปจะพลิกตัวฮิมุโระขึ้นมา แต่เสียงของอีกฝ่ายกลับทำเขาหยุดชะงัก

 

“ชู…อย่ามาแตะต้องตัวฉัน”

 

“……..” ใจของนิจิมุระเหมือนถูกขยี้จนแหลกสลายเพราะคำพูดของอีกฝ่าย “…ทัตสึยะ?”

 

“ขอร้องล่ะ…ออกห่างจากฉันเถอะนะ”

 

“ทำไมล่ะ! นายเป็นอะไรทัตสึยะ พวกนั้นทำอะไรนาย บอกฉันมานะ!” นิจิมุระตวาดถามอย่างหัวเสียเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

 

“….” ฮิมุโระเงียบก่อนจะเอ่ย “…..ขอร้องเถอะ ชู ..ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ”

 

“นายเป็นอะไร.. ทัตสึยะ”

 

ใบหน้าของฮิมุโระแดงจัด และเริ่มมีเม็ดเหงื่อไหลที่ใบหน้า ทำให้สภาพของเขาตอนนี้ดูเซ็กซี่และเย้ายวนมากในสายตาของนิจิมุระ

 

“……..หรือว่านายจะ…”

 

“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน!!” ฮิมุโระตวาดลั่นก่อนจะขยับตัวถอยหลังไปแล้วค่อย ๆ ลุกยืนขึ้นช้า ๆ อย่างทุลักทุเล ทั้งอเล็กซ์ พวกเด็ก ๆ และเพื่อน ๆ ได้แต่มองด้วยความตกใจ

 

“ทัตสึยะ…” ไมค์ร้องเบา ๆ ตั้งท่าจะวิ่งเข้าไปหาแต่อเล็กซ์รีบคว้าตัวไว้

 

“อย่ามาใกล้ฉัน…อย่ามายุ่งกับฉัน…พวกนายทุกคน” เด็กหนุ่มหน้าสวยเอ่ยพลางหอบหายใจ “ปล่อยฉันไว้คนเดียวสักพักเถอะ…”

 

ฮิมุโระเอ่ยแค่นั้นก่อนจะกอดร่างตัวเองเดินออกไป

 

นิจิมุระมองแผ่นหลังของเพื่อน ก่อนจะหันไปหาอเล็กซ์

 

“เดี๋ยวฉันไปเอง… ตอนนี้ฝากอเล็กซ์พาเด็ก ๆ กลับไปก่อนนะ ฉันกับทัตสึยะจะตามไปทีหลัง”

 

“แต่นายต้องทำแผลก่อนนะ โดนยิงมาไม่ใช่หรือไง?”

 

“อ่า ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ยังไม่เท่ากับทัตสึยะที่เป็นอยู่ตอนนี้หรอก”

 

นิจิมุระพูดจบแล้วก็วิ่งออกไปทางเดียวกับทัตสึยะ พยายามมองหาไปทั่วทุกที่ จนกระทั่งมาเจออีกคนที่นั่งกอดตัวเองอยู่ในห้องล็อกเกอร์ในยิม

 

“ฉันบอกไม่ให้ตามมาไง.. ชู”

 

“นายโดนพวกมันกรอกยามาใช่ไหม?”

 

“…..” ฮิมุโระเงียบ

 

“ให้ตายสิ! เรื่องแบบนี้ถึงจะบอกว่าอยากจะอยู่คนเดียว ฉันก็ไม่ให้นายทำมันเองหรอกนะ” นิจิมุระเดินเข้าไปใกล้แล้วสวมกอดอีกคนไว้ “อย่าลืมสิ ว่าฉันรักนาย..”

 

ฮิมุโระกัดฟันแน่นก่อนจะหันใบหน้าที่แดงก่ำนองน้ำตาขึ้นมามองอีกคน

 

“ฉันเตือนนายแล้วนะ…ชูโซ”

 

 

นิจิมุระ ชูโซ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเรื่องมันดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้ยังไง…

 

ใต้ร่างของเขา คือร่างเปลือยเปล่าขาวสะอาดของเพื่อนสนิทคนสว– อุ ไม่สิ หล่อแล้วกัน …ฮิมุโระ ทัตสึยะ

 

ดวงตาสีเทาของนิจิมุระกวาดมองทั่วร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเพื่อน ที่จากนี้อาจจะไม่ใช่แค่เพื่อนอีกต่อไป ผิวของทัตสึยะขาวมากเป็นทุนเดิม พอถูกกระทำเช่นนี้ เลยทำให้สีแดงเรื่อเด่นชัดตามร่างกายและใบหน้าสวย ๆ

 

บ้าเอ๊ย! สติจะแตก…

 

เสียงครางของทัตสึยะหวานอย่างกับอะไรดี เล่นงี้ใครจะไปหยุดตัวเองอยู่กันฟะ! ทัตสึยะเองก็ตั้งสติหน่อยสิเฮ้ย! …อดีตกัปตันทีมบาสเกตบอลโรงเรียนเทย์โคตะโกนลั่นในใจ

 

…แต่ก็ใช่ว่าอยากหยุดเสียหน่อยนี่นา…

 

“ชู…”

 

นิจิมุระยิ้มบาง ๆ พลางไล้มือไปบนแก้มของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ฮิมุโระที่ผ่อนคลายลงบ้างแล้วยิ้มตอบเขาขณะผ่อนลมหายใจหอบกระชั้นเป็นจังหวะ

 

“ฉันรักนาย”

 

ริมฝีปากอุ่นประกบแนบชิดกันพร้อมกับอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นอีก จังหวะที่ส่งต่อให้เริ่มประสานกันอีกครั้งจนกระทั่งกลายเป็นความรู้สึกอันร้อนแรง

 

ฉันรักนาย…รักนายนะ ทัตสึยะ

 

My sweet honey

 

 

“ฮ่า ๆ ..ชูนี่ เก่งเรื่องลามกจังเลยนะ”

 

“อย่าพูดแบบนั้นสิ… แต่นายก็ร้องเสียงหวานมากเลยไม่ใช่หรือไงน่ะ”

 

“ก็ไม่รู้สินะ”

 

ฮิมุโระที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดอุ่น ๆ ของนิจิมุระหลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

 

“แล้วแผลไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ?”

 

“…..นี่ฉันลืมเรื่องแผลไปเลยนะเนี่ย”

 

“แย่จริงชู” ฮิมุโระส่ายหน้าเอือม ๆ “มาสิ เดี๋ยวฉันทำแผลให้”

 

“เดินไหวเรอะ?”

 

“บ้า… ต้องไหวสิ”

 

เจ้าของใบหน้าหวานหัวเราะพลางลุกไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมา ขณะกำลังนั่งลงจะทำแผลให้นิจิมุระที่นั่งพิงล็อคเกอร์อยู่ ก็มีเสียงประตูของห้องถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างเล็กเรือนผมสีส้มที่โผล่เข้ามา

 

“แฮ่!”

 

“ฮ-เฮ้ย! ไมค์!!” ชูร้องเรียกชื่อเด็กน้อยตรงหน้าด้วยความตกใจ พร้อมกับฮิมุโระที่หันไปมองตามเสียง

 

“ไมค์ มาได้ยังไง ..แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ?”

 

“อื๋อ ผมมาคนเดียวฮะ แล้วนี่ทัตสึยะกับชูทำอะไรกันฮะ?” เด็กน้อยมองทั้งสองคนด้วยสายตาใสซื่อ แต่แฝงไปด้วยเลศนัย “ฮันแน่ ผมรู้นะฮะ XD”

 

“อะไรเล่า! ทัตสึยะแค่จะทำแผลให้ฉันหรอกน่ะ”

 

“อ๋อ~ เหรอฮะ ทำแผลต้องถอดเสื้อผ้าหมดเลยเหรอฮะ?”

 

“ไมค์…” ฮิมุโระเรียกชื่อเด็กน้อย “เป็นเด็กดีนะ แล้วปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ‘ห้าม’ บอกใครเด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะตีก้นให้แดงแจ๋เลย”

 

“อืม~ เอายังไงดีน้าา อ๊ะ! แต่เพื่อทัตสึยะ ผมไม่บอกใครก็ได้ แต่ชูต้องเลี้ยงเบอร์เกอร์ผมนะ?”

 

“เฮ้ย ไหงเป็นฉันที่ต้องเลี้ยงล่ะ เจ้าเด็กนี่!”

 

“ไม่รู้ล่ะ~ งั้นผมไปนะฮะ ไปเล่นกับจอห์นต่อแล้ว”

 

พอเด็กน้อยจอมทะเล้นออกไป ทั้งคู่ต่างก็มองหน้าหากัน

 

“จอห์น?… แล้วไหนบอกว่ามาคนเดียวไงฟะ!!!!!!!!”

 

END

 

Talk :

 

ไวโอเล็ตต้า : เหนื่อยค่ะ– 55555555555555555 แต่สนุกมาก ขอบคุณคุโรชี้(?) ที่ต่อบทกันได้อย่างไหลลื่นตลอดมวา ว้าย เขิน—– #ยังเมนม่วงน้ำแข็งนะคะ 5555555555 แค่จริงๆ แล้วอวยออลน้ำแข็ง—-

 

คุโรชิ : จบแล้ว แฮ่! จบด้วยความเกรียน เอ๊ย ความน่ารักของไมค์—- 55555555555555555555555555555555555555555 ดองฟิคมาหลายเดือนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เขินตุง(….) ฟิคคู่แรกที่แต่งแล้วสำเร็จ บอกเลยว่าฟิคเดี่ยวๆ ยังไม่เคยจะแต่งจบ(…) รู้สึกแบบ อ่าห์~ คิมูจิ— ฟิคนี้จะเรียกว่า รุ้งน้ำแข็ง ที่โดนไมค์แย่งชิงบทไปตอนสุดท้าย(…) 555555555 ไมค์รักหม่ามี้ทัตสึยะ เลยแกล้งแดดดี๊ชู #ไมค์ได้กล่าวไว้—- อาจจะมีฟิคแต่งร่วมกับพี่ไวโอเล็ตต้าอีก รู้สึกว่าจะมีหลายคู่มาก—– กร๊าก คือ คุยกับพี่ไวโอเล็ตต้าแล้วลื่นไหลที่สุด 555555 ในแชทนี่สามารถโรลกันได้ถึง 2 คู่ในแชทเดียว—- 2 คู่ที่ว่าอาจจะเป็นฟิคแต่งร่วมกันในคราวต่อๆ ไป—- ยังไม่บอกว่าคู่ไหน อิอิส์ /โดนตบกลิ้ง—

 

ผลงานร่วมกับน้องสาว คุโรชิจังค่ะะ
Fiction · MuraMuro

Kuroko no Basuke : Behind of that door (MuraMuro)

Title : Behind of that door

Pairing : Murasakibara Atsushi x Himuro Tatsuya

Rate : G

Fandom : Kuroko no Basuke

 

มืดไปหมด…

 

ราวกับจมลงมาในน้ำที่ลึกแสนลึก…

หายใจไม่ออก…

 

ที่สุดปลายทางนั้น…

ฉันร่วงหล่นลงไปบนพื้นเย็นเฉียบ

ด้านหน้าประตูบานหนึ่ง

 

ฉันมองรอบ ๆ ตัว หากแต่ไม่เห็นสิ่งใด…

ฉันเงี่ยหูฟัง แต่ไม่มีเสียงใดให้ได้ยิน…

ฉันอยู่ตามลำพัง

 

ณ วินาทีนั้น ฉันก็รู้ตัวถึงบางสิ่ง

 

ที่นี่คือ… ‘หน้าประตูแห่งโซน’

 

แล้วตัวฉันมาที่นี่ทำไมกัน…

ฉันได้แต่ถามตัวเอง ขณะเอื้อมมือไปทาบบนประตูบานนั้นแล้วออกแรงคล้ายจะผลัก

 

หากแต่มันไม่เขยื้อน

 

ฮะ ๆ …ก็น่าจะรู้ดีมาตั้งแต่แรกแล้ว

แล้วตัวฉันมาที่นี่ทำไมกัน…

เพื่อเอาชนะใครบางคนงั้นหรือ? หรือเพื่อยืนยันตัวตนของตัวเองว่ายังคงเป็น ‘พี่ชาย’ ของเด็กคนนั้นได้อยู่?

 

บ้าบอสิ้นดี!

 

ฉันออกแรงทุบประตูบานตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง ทำไมมันถึงไม่เคยเปิดต้อนรับฉัน! ทำไมมันต้องผลักไสฉัน!

 

“ฉันเริ่มเล่นบาสก่อนแท้ ๆ และรักบาสมากกว่าเป็นไหน ๆ! ทำไมถึงไม่ใช่ฉัน! แต่เป็นหมอนั่น!!”

 

ทำไม!!

 

มือของฉันทุบ…ทุบ…ทุบลงไปบนบานประตู ทุบลงไปจนหมดเรี่ยวแรง

อ่อนล้าจนต้องทรุดกายนั่งลง

น้ำใส ๆ ไหลอาบสองข้างแก้ม

 

ฉันมาทำบ้าอะไรที่นี่…ในที่ที่ฉันไม่อาจก้าวเข้าไปได้

 

คน ๆ นั้นที่ฉันเคยเฝ้ามอง…แผ่นหลังสูงใหญ่ที่ไม่อาจก้าวข้ามผ่านไปได้…

ไม่ว่าฉันจะวิ่งตามสักเท่าไหร่ ไม่ว่าฉันจะพยายามสักเพียงไหน

มือของฉันก็เอื้อมไปไม่ถึง

 

ไม่มีทางไล่ตามไปได้เลยอย่างนั้นหรือ?

 

เหตุใด…ภาพนั้นถึงได้มืดมัวลงขนาดนั้น

 

เป็นเพราะว่าตัวฉันอ่อนแอลง…หรือว่าพวกเขาห่างไกลออกไปเรื่อยจนไม่อาจมองเห็นกันแน่

 

ฉันได้แต่นั่งอยู่แบบนั้น ร้องไห้อย่างไร้จุดหมาย ร้องไห้ให้กับความอ่อนแอของตัวเอง

 

และร้องไห้ให้กับความริษยาในใจ

 

ฉันอิจฉา…ทั้ง ๆ ที่หมอนั่นมีพรสวรรค์ที่ฉันใฝ่หาขนาดนั้น แต่กลับทอดทิ้งการแข่งไปได้หน้าตาเฉย

ทั้ง ๆ ที่ถ้าพยายามอีกนิด โอกาสชนะก็จะเพิ่มมากขึ้นแล้วแท้ ๆ

เกลียด…เกลียด…เกลียด!

 

แต่ก็กลับยังคงชื่นชม—

 

ชื่นชมและหลงใหลในพรสวรรค์และความสามารถอันสูงค่าที่ตัวเองไม่อาจเอื้อมถึงนั้น

 

โง่เง่าซะไม่มี

โง่เง่าเสียจน…ที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็ไม่ได้แปลกอะไร

 

อา…หมดแรงแล้วล่ะ

 

ปาฏิหาริย์อะไรนั่น…ยังจะต้องคาดหวังอีกไหม?

ฉันได้แต่ยิ้มเยาะตัวเอง…ยิ้มเยาะให้กับความไร้พลัง ความเปราะบาง ความอ่อนหัด และความทุ่มเทของตัวเอง

 

ฉันรักบาสนะ…แต่ทำไมถึงเหนื่อยแบบนี้

 

ทำไมฉันต้องเกิดมาในยุคสมัยนี้และเจอกับพวกนายด้วย

ทำไมฉันจะต้องมาติดอยู่หน้าประตูบานนี้คนเดียวด้วย

 

ทำไม…

 

ทำไม…

 

ทำไม…

 

ทำไม…ฉันถึงชื่นชมพวกนายกันนะ

 

อา…ขอร้องล่ะ

 

ฉันเองก็อยากจะแข็งแกร่งให้มากกว่านี้…

ฉันเองก็อยากจะสู้กับหมอนั่นได้อย่างสูสี…

 

ได้โปรดเถอะ พระผู้เป็นเจ้า…

ช่วยให้ลูกเข้มแข็งมากขึ้นกว่านี้ด้วยเถอะ

 

“มุโระจิน?”

 

ฉันหยีตาเมื่อแสงสว่างสาดส่องมาจากตรงหน้า เมื่อแหงนมองก็พบกับเงาสีดำสูงใหญ่

เงาดำที่มีใบหน้าของคนที่ฉันคุ้นเคยดี

 

คน ๆ นั้นที่ฉันแสนชื่นชมยืนอยู่หน้าประตู ง้างเปิดมันเอาไว้และยื่นมือมาหาฉัน

ฉันที่ยังคงน้ำตาไหล ได้แต่เอื้อมมือออกไป

 

และคว้าจับมือนั้นไว้อย่างไม่ลังเล

 

.

.

.

 

“นั่นมันอะไรน่ะ?”

 

“หรือว่า…”

 

“ฮิมุโระ…เข้าโซนไปแล้วงั้นเหรอ!?”

 

.

.

.

 

อา…นี่สินะ

 

โซน

 

 

งานเก่าสมัยลงเอ็กซ์ทีน
จะเอาฟิคบาสมารวมแล้วค่ะ ฮาา
Fiction · KyouTomoe

Prince of Stride : There Is an Angel Stays Beside Me on the Bed (KyouTomoe)

Title : There Is an Angel Stays Beside Me on the Bed

Pairing : Kuga Kyousuke x Yagami Tomoe

Rate : G

Fandom : Prince of Stride

 

30 Days Couple Challenge #30 “นอนหลับบนเตียง”

 

บางคราวบางหน ก็อดคิดไปไม่ได้ว่าคนที่นอนหลับอยู่เคียงข้างทุกคืนบนเตียง…เป็นนางฟ้าที่เกิดมาเพื่อเขาหรือเปล่า

 

แสงอาทิตย์ยามเช้าของโตเกียวสาดส่องลอดม่านเข้ามาในห้องที่ไม่ได้หรูหราอย่างห้องสวีทโรงแรมห้าดาว หากแต่เป็นห้องที่นอนแล้วสบายใจที่สุด เคียวสุเกะเป็นฝ่ายตื่นขึ้นก่อน เขารอจนสติเริ่มครบถ้วนแล้วหลุบตาลงมองร่างที่นอนกอดซุกอยู่แนบอก

 

หลังจบการท่องเที่ยววันที่สาม ฮันนีมูนสามวันสองคืนที่ปารีสก็จบลงด้วย ทั้งคู่กลับมายังบ้านของตน เก็บข้าวของ ซักเสื้อผ้าที่นำไปที่โน่นด้วยแล้วล้มตัวลงนอนอย่างหมดเรี่ยวแรงด้วยกันทั้งสองฝ่าย

 

พอนึกถึงสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และความร่าเริงของโทโมเอะในปารีส เขาก็ไม่แปลกใจที่อีกคนยังหลับไม่ตื่น

 

เคียวสุเกะคลี่ยิ้มบาง ล้มเลิกความคิดที่จะปลุกโทโมเอะเมื่อเห็นใบหน้าพริ้มหลับสบาย มือใหญ่เคลื่อนไปเกลี่ยผมที่ปรกใบหน้าภรรยาออกอย่างแผ่วเบาที่สุดจนเห็นดวงตาทั้งสองข้างซึ่งยังปิดสนิท และจังหวะลมหายใจที่ถ่ายถอนออกมาช้า ๆ สงบนิ่ง

 

กำลังฝันอะไรอยู่หรือเปล่านะ

 

ปลายนิ้วไล้ไปตามแก้มเนียนด้วยความรักใคร่ ก่อนจะมาแตะตรงปลายจมูกที่ขยับไปมาเล็กน้อยเป็นการตอบสนองคล้ายจะหยอกเล่น เห็นแล้วก็ชวนให้นึกเอ็นดู

 

คงไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้ว ที่ได้เห็นด้านนี้ของโทโมเอะ นอกจากสามีอย่างเขา

 

โทโมเอะก็เหมือนกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่พยายามทำตัวเข้มแข็งเป็นผู้ใหญ่ พยายามที่จะแบกรับความรู้สึกของคนอื่นไว้ รับความผิดอยู่คนเดียว นั่นคือนิสัยที่ไม่เคยเปลี่ยนไป

 

เขารู้ได้ ก็เพราะเมื่อก่อนบางครั้ง…ภรรยายังมองเขาด้วยสายตาสำนึกผิด

 

แต่หลัง ๆ มานี่โทโมเอะเปลี่ยนไปมากแล้ว แววตาที่เคยโศกเศร้าอยู่เสมอเริ่มกลับลายเป็นมีความสุข เจ้าตัวยิ้มบ่อยขึ้น หัวเราะบ่อยขึ้น

 

…และน่ารักมากขึ้น

 

จากวันแรกที่สัมผัสมือ รับรู้ถึงความรู้สึกในใจซึ่งเริ่มเปลี่ยนไป ความใกล้ชิดค่อย ๆ เพิ่มพูนสูงขึ้น เขาไม่เคยลืมน้ำเสียงของโทโมเอะเมื่อตอบตกลงคบกัน ไม่เคยลืมชารสหวานในวันนั้นที่ดื่มจากแก้วของคนรัก ไม่เคยลืมสัมผัสเมื่อริมฝีปากแนบสนิทกันครั้งแรก ไม่เคยลืมใบหน้าแดงก่ำใต้แสงจันทร์ของคนที่ตนขอแต่งงาน

 

และสิ่งที่เขาเคยสัญญาไว้กับตัวเองว่าจะจดจำตลอดไป รอยยิ้มของเจ้าสาวแสนสวย…วันนี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำไม่เคยจางหาย

 

อาจเป็นคำสาปของนางฟ้าในอ้อมกอดนี้ก็ได้ ที่ทำให้เคียวสุเกะรักโทโมเอะมากขึ้นทุกวัน

 

“อือ…เคียวสุเกะ อรุณสวัสดิ์” เสียงนุ่มครางยืดยานออกมาแผ่ว ๆ เป็นสัญญาณว่าคนในอ้อมกอดเริ่มรู้สึกตัวตื่น โทโมเอะยกมือขยี้ตาอย่างงัวเงีย เคียวสุเกะคลี่ยิ้ม ก้มลงจูบหน้าผากมนอย่างอ่อนโยน

 

“อรุณสวัสดิ์…โทโมเอะ”

 

แม้ฮันนีมูนจะจบลง หากแต่กลิ่นหอมแสนหวานของน้ำผึ้งแห่งรักยังคงอบอวลอยู่รอบกายทั้งสอง ชีวิตในวันใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง และอีกครั้ง และอีกครั้ง เป็นชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหารราคาแพง ไม่ต้องนอนห้องหรูหรา ใช้เวลาอย่างธรรมดาเรียบง่าย

 

ขอเพียงแค่มีนางฟ้าของเขาอยู่เคียงข้างด้วยรอยยิ้มทุกวัน…เท่านั้นเคียวสุเกะก็มีความสุขที่สุดแล้ว

 

 

 

 

จบแล้วว แงง ; _ ;
ก็แอบดีใจแต่ก็เหงาๆ เป็นหนึ่งเดือนที่ติ่งเคียวโทโมเอะจริงๆ…
ช่วงนี้ติดคู่นี้มากด้วย ฮา
แล้วจากนี้จะเสพอะไร 555 เข้าใจความแพเล็กแบบต้องผลิตเองเสพเองแล้ว
#โบกธงอวยต่อไป

 

ตอนละ 2 หน้า 30 ตอนรวมกัน 60 หน้านี่เกือบจะเรียกว่านิยายเลยมั้ยอะ 555
Fiction · KyouTomoe

Prince of Stride : L’Amour à Paris (KyouTomoe)

Title : L’Amour à Paris

Pairing : Kuga Kyousuke x Yagami Tomoe

Rate : G

Fandom : Prince of Stride

 

30 Days Couple Challenge #29 “นอนหนุนตัก”

 

การฮันนีมูนในปารีสของเคียวสุเกะกับโทโมเอะเต็มไปด้วยความรักแสนหวานล่องลอย

 

วันแรกหลังจากนอนเต็มอิ่มบนเครื่องจนแลนด์ดิ้ง เช็คอินเข้าที่พัก ตกใจเล็กน้อยกับความหรูหราจนทำตัวไม่ถูกของห้องสวีทในโรงแรมและเก็บของเรียบร้อย ทั้งสองคนก็เปลี่ยนชุดออกไปท่องเที่ยวในสถานที่ใกล้โรงแรมก่อนเพื่อไม่ให้เวลาสามวันต้องสูญเปล่า

 

ช็องเซลีเซเป็นที่แรกที่เลือกไปเดินเล่นเพราะอยู่ใกล้สุด เคียวสุเกะกับโทโมเอะเดินกอดแขนกัน ใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศสวยงามโดยรอบ แวะจิบกาแฟที่ร้านกาแฟ ชิมขนมรสชาติเยี่ยมจนโทโมเอะแอบคิดว่าอยากจะลองเอากลับไปทำที่บ้านบ้าง จากนั้นจึงออกไปเดินเที่ยวต่อ และแอบขำกันเล็กน้อยเมื่อเห็นร้านในเครือของ D’s International ด้วย

 

แค่เดินช็องเซลีเซก็หมดวันแล้ว ทั้งสองกลับถึงโรงแรมตอนค่ำ ทานอาหารเย็นด้วยกันที่ห้องอาหารแล้วจึงกลับขึ้นห้องพัก นั่งเล่นดูโทรทัศน์ด้วยกัน พักผ่อนร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการเดินทาง และเตรียมเริ่มการผจญภัยในปารีสอย่างแท้จริง

 

ทริปในวันต่อมาเริ่มด้วยการไปเยือน อาร์ก เดอ ทรียงฟ์ เดอ เลตวล หรือประตูชัยฝรั่งเศส ต่อด้วยหอไอเฟล พระราชวังแวร์ซาย มหาวิหารน็อทร์-ดาม พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อันเลื่องชื่อและพิพิธภัณฑ์อื่นอีกหลายแห่ง แวะทานอาหารเย็นที่ร้าน แล้วจึงจบลงด้วยการล่องเรือ บาโต มูช ไปตามแม่น้ำแซน ชมบรรยากาศยามค่ำคืนของปารีส ก่อนจะกลับที่พัก

 

โทโมเอะที่อาบน้ำเสร็จก่อนนั่งเล่นดูโทรทัศน์ไปพลาง คิดแผนสำหรับทริปวันสุดท้ายก่อนไปสนามบินพลาง ตอนที่เคียวสุเกะเดินกลับออกมาจากห้องน้ำ ทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ตามด้วยศีรษะที่เอนลงมาหนุนตักเขาหน้าตาเฉย

 

“…เคียวสุเกะนี่ล่ะก็” ตกใจแต่ก็อดขำไม่ได้ ซึ่งพอเคียวสุเกะเห็นภรรยาหัวเราะก็ยิ้มออกมาบาง ๆ

 

“ไม่เหนื่อยเหรอ โทโมเอะ…วันนี้เดินทั้งวันเลยนี่นา” เอ่ยถามพลางเลื่อนมือมาลูบแก้มเนียนนุ่มอย่างอ่อนโยน โทโมเอะยิ้มตอบ ยอมวางมือจากแผนท่องเที่ยวมากุมมือสามีสุดที่รักไว้แนบชิด ดวงตาหลับลงพริ้ม

 

“ไม่เหนื่อยหรอก…ปารีสมีที่เที่ยวน่าสนใจตั้งเยอะแยะ ถึงคนจะเยอะไปหน่อยก็เถอะ แล้วก็นะ…” เสียงนุ่มตอบเบา ๆ ขณะคลอเคลียแก้มไปกับอุ้งมืออุ่น “…ได้ไปเที่ยวกับเคียวสุเกะไม่เหนื่อยหรอก”

 

“กำลังอ้อนเหรอ?” เคียวสุเกะหัวเราะ โอบมือไปรั้งคอภรรยาให้ก้มลงมาจนริมฝีปากประกบแนบชิด นิ่งค้างอยู่แบบนั้นพักใหญ่เหมือนแลกเปลี่ยนความรู้สึกให้แก่กันและกัน รวมถึงเติมพลังให้ร่างกายที่อ่อนล้าไปด้วยในตัว

 

“โทโมเอะ…” คนผมยาวผละริมฝีปากออกเล็กน้อย ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยผมหน้าที่ปรกตาของภรรยาออกแล้วสบดวงตาใสทั้งสองข้างด้วยความรักใคร่

 

“Je t’aime”

 

เสียงกระซิบแว่วแผ่วเบา แต่คนฟังก็ได้ยินชัดเจนจนถึงขั้วหัวใจ เคียวสุเกะดันตัวลุกขึ้น กดจูบลงมาอีกครั้ง จูบย้ำลงบนกระจับปากอิ่มซ้ำอยู่ไปมาเช่นนั้นราวกับไม่อยากแยกห่างแม้ชั่ววินาที สองแขนโอบเข้าประคองช้อนอุ้มร่างเล็กกว่าที่ตอบสนองทุกสัมผัสขึ้น พาตรงกลับไปยังห้องนอน สู่เหนือเตียงอ่อนนุ่ม พร้อมกับสอดแทรกลิ้นร้อนรุกเร้าเข้าหา

 

สองร่างขยับกายเปลือยเปล่า แลกเปลี่ยนอารมณ์หวามหวิวเร่าร้อน เสียงหอบหายใจปนเสียงครางถี่กระชั้นกังวานในห้องสงัด ท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำอันประดับด้วยดวงจันทร์และดวงดาวในมหานครแห่งรัก

 

รสชาติของน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ดื่มด่ำร่วมกันช่างแสนหวาน

 

ดั่งความรักที่ล่องลอยในปารีส

 

 

 

แต่งไปเที่ยวปารีส(ในกูเกิ้ล)ไป ฮาาา
ช็องเซลีเซสวยมากกก แต่ลูฟวร์นี่คนเยอะจนน่ากลัวง่ะ
ดูแล้วก็แอบอยากไป…
พรุ่งนี้ชาเลนจ์สุดท้ายแล้วว ; _ ;
Fiction · KyouTomoe

Prince of Stride : Fell on Your Shoulder (KyouTomoe)

Title : Fell on Your Shoulder

Pairing : Kuga Kyousuke x Yagami Tomoe

Rate : G

Fandom : Prince of Stride

 

30 Days Couple Challenge #28 “ซบไหล่”

 

เพราะโทโมเอะไม่ได้มีที่ไหนที่อยากไปท่องเที่ยวเป็นพิเศษ ส่วนเคียวสุเกะยิ่งปราศจากความเห็นไปใหญ่ สุดท้ายพี่ไดแอนที่ทนรำคาญไม่ไหวจึงจัดการโยนแพ็คเกจเที่ยวฝรั่งเศสสามวันสองคืน พร้อมตั๋วไปกลับเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาสและห้องสวีทโรงแรมระดับห้าดาวมาให้ (แถมเงินค่ากินค่าอยู่)

 

แน่นอนทั้งสองคนเกรงใจเต็มที่ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อนางพญามาร–

 

สรุปว่าได้ไปฮันนีมูนที่ปารีส

 

“เฮ้อ…” โทโมเอะเอนหลังกับเบาะนั่งของตัวเองด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากเครื่องเทคออฟมาได้สักพักและบินได้ระดับแล้ว วันนี้เขากับเคียวสุเกะเลือกที่จะตื่นมาทำงานก่อน แล้วตอนเย็นจึงรีบปิดร้านตรงไปสนามบิน จริงอยู่ว่าการบริการระดับเฟิร์สคลาสนั้นดีมากสมราคา

 

แต่คือคนไม่ชินมันก็เกร็งอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

 

“โทโมเอะ เหนื่อยเหรอ” สามีเอ่ยทักจากที่นั่งด้านข้าง พอหันไปมองก็เห็นเขากำลังยิ้มมองตอบกลับมา มือใหญ่เลื่อนมาจับมือที่วางอยู่บนที่วางแขน บีบกระชับอย่างอ่อนโยน

 

“เหนื่อยนิดหน่อย…ไม่ค่อยคุ้นกับการบริการขนาดนี้น่ะ” เอ่ยพลางหัวเราะแห้ง ๆ เพราะถึงจะเคยขึ้นเครื่องบินเดินทางไปยังสนามแข่งสไตรด์บ่อย แถมยังเคยบินไกลไปถึงอเมริกาแล้ว แต่นั่นก็แค่ชั้นประหยัด “เคียวสุเกะดูสบาย ๆ จังเลยนะ”

 

“อืม…คงเพราะปกติก็มีภรรยาคอยดูแลแบบนี้ล่ะมั้ง” คนปากหวานก็ยังหวานได้แม้ไม่โดนลมพัด ส่วนคนโดนหยอดก็หน้าแดงไปตามระเบียบ

 

“แต่ที่จริง เฟิร์สคลาสนี่ก็มีข้อเสียอยู่อย่างเหมือนกัน” โทโมเอะทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่องเพื่อแก้เขิน ขณะดวงตากวาดมองไปรอบบริเวณแล้วจึงปิดลง

 

“หืม อะไรเหรอ?” เสียงทุ้มซึ่งถามขึ้นเบา ๆ กลับดังชัดเจนท่ามกลางความเงียบสงัดในชั้นเฟิร์สคลาสที่แทบไม่มีผู้คน

 

“มันห่างกันนะ…ที่ว่างระหว่างฉันกับนายน่ะ”

 

ถึงจะเป็นระยะห่างช่วงมือเอื้อมถึง แต่เพื่อให้ความส่วนตัวกับผู้โดยสาร ที่นั่งในชั้นนี้จึงแยกจากกันเกือบเด็ดขาด ถ้าเป็นในชั้นประหยัด แม้จะอึดอัดคับแคบไปหน่อย ทั้งสองคนก็คงได้นั่งใกล้ชิดกันกว่านี้

 

เสียงประกาศดังขึ้นเป็นภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส จับใจความได้ว่าถึงเวลาปิดไฟเพื่อให้ผู้โดยสารได้นอนหลับพักผ่อน พร้อมกับที่แสงค่อย ๆ หรี่มืดลง

 

“โทโมเอะ…มานี่สิ” มือของเคียวสุเกะที่จับมือเขาอยู่ดึงเบา ๆ ทำให้โทโมเอะต้องเลิกคิ้วเล็กน้อย กระนั้นก็ยอมลุกไปตรงที่นั่งของสามีอย่างว่าง่ายเช่นปกติ

 

เมื่อเข้าไปใกล้ ร่างสูงก็ดึงเขาลงไปนั่งบนตัก โทโมเอะสะดุ้ง หน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขิน กระนั้นเคียวสุเกะก็รู้ทัน กระชับวงแขนกอดรอบเอวเขาแน่นไม่ให้ขยับหนี

 

“ตั้งแต่แต่งงานกันมา ฉันไม่เคยนอนโดยไม่มีนายอยู่ข้าง ๆ” พอได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอ่อนโยน คนที่ขยับยุกยิกไปมาอยู่ก็ชะงักนิ่งไป เคียวสุเกะส่งยิ้มมาให้เขา ก่อนจะประกบริมฝีปากลงตรงข้างแก้มนุ่ม

 

“คืนนี้ก็อยากให้เป็นแบบนั้นอยู่…นอนด้วยกันนะ โทโมเอะ”

 

ไม่รู้ทำไม ฟังเคียวสุเกะอ้อนแล้วใจอ่อนยวบทุกที โทโมเอะยิ้มตอบ โอบแขนสอดเข้ากอดสามีไว้ เอนศีรษะซบลงตรงไหล่อบอุ่นพลางหลับตาลง

 

“อื้อ…นอนด้วยกันนะ”

 

นั่นสินะ…ช่องว่างระหว่างเขากับเคียวสุเกะน่ะ…

 

ไม่มีหรอก

 

 

 

 

ชอบโมเมนต์ซบไหล่ค่ะ 55
อิงภาพจาก La Première ของ Air France
มีแอบลังเลกับ JAL แต่เฟิร์สคลาส JAL ไม่สวยเท่า Air France
ว่าแล้วก็อยากลองขึ้นเครื่องบินจัง…
Fiction · KyouTomoe

Prince of Stride : Talking on the Balcony (KyouTomoe)

Title : Talking on the Balcony

Pairing : Kuga Kyousuke x Yagami Tomoe

Rate : G

Fandom : Prince of Stride

30 Days Couple Challenge #27 “โรแมนติก”

 

เสียงเพลงแจ๊สฟังสบายดังแว่วอยู่ท่ามกลางเสียงพูดคุยของผู้คนในงานเลี้ยงค็อกเทลแวดวงธุรกิจแฟชั่น ดารา นางแบบนายแบบ เจ้าของบริษัทแฟชั่นชั้นนำต่างสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องงานของพวกตน บ้างก็โอ้อวดยอดขายที่ทำได้ในปีที่ผ่านมา บ้างก็บรรยายสรรพคุณสินค้าตัวเองอย่างออกรส

 

โทโมเอะพาตัวเองเลี่ยงจากฝูงชนออกไปยืนสูดอากาศรับลมอยู่ตรงระเบียงข้างนอกตามลำพังด้วยความไม่คุ้นชิน ส่วนตัวเขาไม่ชอบการพบปะคนมากมายขนาดนี้ แต่เป็นเพราะไดแอน พี่สาวของฮีธเป็นคนชวนมาในฐานะนายแบบของแบรนด์ D’s จึงปฏิเสธไม่ได้

 

ถึงอย่างนั้น งานเลี้ยงนี่มันก็หนักไปสำหรับเขาจริง ๆ นั่นล่ะ…คิดแบบนั้นแล้วก็อดถอนหายใจอีกรอบไม่ได้ โดนลากไปวงสนทนานี้นั้น รู้ตัวอีกทีทั้งเคียวสุเกะ ทั้งฮีธ รวมถึงพี่ไดแอนและพี่ชอว์น่าต่างก็หายไปไหนกันหมดแล้วไม่รู้ โทโมเอะที่เคว้งอยู่คนเดียวเลยหลบออกมา

 

“เจอตัวสักที มาทำอะไรอยู่ข้างนอกน่ะ โทโมเอะ” เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาที่กำลังหลุบลงมองแหวนแต่งงานบนนิ้วนางข้างซ้ายหันกลับไปมองคนข้างหลัง

 

“เคียวสุเกะ…ตกใจหมดเลย” เคียวสุเกะยิ้มบางแล้วเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะยื่นแก้วในมือแก้วหนึ่งให้เขา

 

“ไม่ต้องห่วง เป็นม็อคเทล…นายไม่ชอบดื่มแอลกอฮอล์ใช่ไหมล่ะ” พอได้ยินแบบนั้น โทโมเอะก็ยอมรับแก้วไปจิบอย่างว่าง่าย “อีกอย่าง ฉันก็ไม่อยากให้ภรรยาเมาให้ใครเห็นเหมือนกัน”

 

“อะไรกัน…ฉันก็ไม่ได้…” คนเป็นภรรยารีบหันใบหน้าแดงเรื่อหนีไปอีกทางทันทีด้วยความเขินอาย เคียวสุเกะหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน

 

“คืนนี้ดาวสวยดีนะ ลมก็ดีด้วย” เอ่ยพลางหลับตาลงรับลมที่พัดมาถูกตัว โทโมเอะเงยหน้ามองสามีก่อนจะยิ้มบาง วันนี้เคียวสุเกะรวบผมเรียบร้อย สวมสูทสีขาวที่พี่ไดแอนสั่งตัดให้ ดูท่าทางภูมิฐาน หล่อเหลาสะกดสายตาสาว ๆ ทั่วงานจนโดนเหล่านางแบบรุมล้อม

 

ยังดีที่พอเห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย พวกเธอ(บางคน)ก็ยอมล่าถอย

 

“จะว่าไป…ตั้งแต่แต่งงาน เราก็ยังไม่ได้ไปฮันนีมูนกันเลยนี่นะ”

 

ตอนที่กำลังมองเพลิน เคียวสุเกะก็เอ่ยขึ้นมา โทโมเอะกะพริบตาปริบก่อนจะพยักหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ด้วย ตั้งแต่แต่งงานก็เอาแต่วุ่นกับเรื่องเรียนให้จบ พอเรียนจบก็เริ่มช่วยงานที่บ้านและบางครั้งก็มาเป็นนายแบบให้กับ D’s ด้วย ดังนั้นทั้งคู่จึงยังไม่มีโอกาสไปเที่ยวไหนตามลำพังเลย

 

“พูดถึงแล้ว เราก็แต่งงานกันมาได้สองสามปีแล้วสินะ” เจ้าสาววันวานยิ้มบางพลางหลุบตาลง ปลายนิ้วคลำแหวนที่สวมไว้ด้วยความคิดถึงเรื่องในวันแต่งงาน เคียวสุเกะเลื่อนมือมาโอบไหล่เขาและดึงเข้าไปชิดตัว สายลมอ่อนโยนพัดโชยมา ขณะดวงดาวกะพริบแสงนุ่มนวล

 

“พี่สาวของฮีธจะให้ของขวัญแต่งงานเราเป็นแพ็คเกจท่องเที่ยวน่ะ…” คำพูดของสามีทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องเงยหน้ามองตาปริบ ๆ เคียวสุเกะก้มลงมองเขา พลางอีกมือก็เลื่อนมาเกลี่ยผมสีดำที่ถูกลมพัดเข้าที่ให้

 

“อยากไปฮันนีมูนที่ไหนดี คุณภรรยา?”

 

 

ไหนความโรแมนติกง่ะ 555555
เผื่อไม่คุ้น ชอว์น่าคือพี่สาวคนรองของบุโจวฮีธ เป็นนางแบบให้บริษัทพี่สาวด้วย
ดูเป็นธุรกิจครอบครัว…